posttoday

อุ้มบุญ

14 สิงหาคม 2557

ไม่ทราบใครเป็นคนบัญญัติศัพท์ภาษาไทยว่า อุ้มบุญ ผมต้องขอยกนิ้วให้ เพราะไพเราะและสื่อความหมายที่ลงตัวกว่าคำว่า เซอร์โรเกท ในภาษาอังกฤษเป็นอันมาก

ไม่ทราบใครเป็นคนบัญญัติศัพท์ภาษาไทยว่า อุ้มบุญ ผมต้องขอยกนิ้วให้ เพราะไพเราะและสื่อความหมายที่ลงตัวกว่าคำว่า เซอร์โรเกท ในภาษาอังกฤษเป็นอันมาก

กลายเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อเด็กทารกเพศชายเชื้อสายออสเตรเลีย แต่มีหญิงไทยเป็นคนอุ้มบุญ คลอดออกมามีโรคประจำตัวและเป็นดาวน์ซินโดรม พ่อแม่ชาวออสเตรเลียไม่ยอมรับ เอาไปเฉพาะคู่แฝดเพศหญิงที่สุขภาพสมบูรณ์

ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดเศร้า หลังจากนั้นก็มีข่าวการเรี่ยไรเงินบริจาคในออสเตรเลียได้มาหลายล้านบาทเพื่อช่วยค่ารักษาพยาบาลและค่าเลี้ยงดูเด็ก

เมื่อมีคนสนใจก็มีการขุดคุ้ย มีข่าวต่อมาว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจใหญ่ในเมืองไทย เฉพาะออสเตรเลียชาติเดียว มีคู่สมรสที่รอลูกจากการอุ้มบุญในเมืองไทยอยู่หลายร้อยคน

นอกจากนี้ก็มีเรื่องของหนุ่มญี่ปุ่นวัย 24 ปี ที่เป็นพ่อของเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญแล้วถึง 13 คน และยังมีแผนจะเพิ่มอีกหลายคน ทำให้เกิดความข้องใจสงสัยไปทั่วว่ามีเจตนาร้ายแอบแฝงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่สามารถตามตัวหนุ่มมาให้ปากคำ เพราะเผ่นหนีออกนอกประเทศเสียก่อน

ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายอุ้มบุญ แต่กลับมีธุรกิจนี้สำหรับให้บริการชาวต่างชาติอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

เข้าใจว่าการที่ตลาดอุ้มบุญของเราค่อนข้างใหญ่ เป็นเพราะค่าใช้จ่ายโดยรวมของเราไม่แพง การแพทย์ของเราก็ค่อนข้างดีและที่สำคัญคือเมื่อได้ทารกจากการอุ้มบุญแล้ว สามารถนำออกนอกประเทศได้โดยง่าย เพราะการบังคับใช้กฎหมายของเราหละหลวม สามารถใช้เงินทองซื้อหาเอกสารที่จำเป็น

ก่อนจะเสนอแนะว่าเราควรจะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร ผมขอปูพื้นฐานสักเล็กน้อย

การอุ้มบุญแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ แบบแรก คือ แบบดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณมักจะใช้ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายหญิงตั้งท้องไม่ได้ จึงไปจ้างหญิงอื่นในวัยเจริญพันธุ์ มารับการฉีดเชื้ออสุจิจากฝ่ายชาย โดยอาจใช้วิธีธรรมชาติหรือวิธีผสมเทียมจนตั้งท้องและคลอดเด็กออกมา

วิธีนี้หญิงที่อุ้มบุญเป็นแม่ทางพันธุกรรมของเด็กด้วย ทำให้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่จะเกิดปัญหา กล่าวคือความผูกพันกับลูกอาจทำให้เปลี่ยนใจไม่ยอมสละสิทธิความเป็นแม่ หรือสละสิทธิไปแล้วหวนกลับมาทวงคืนในภายหลัง

แบบที่ 2 เป็นการอุ้มบุญสมัยใหม่ที่เพิ่งมีมาไม่กี่สิบปี เกิดจากการเอาไข่มาผสมกับอสุจินอกมดลูก จนเกิดเป็นตัวอ่อน แล้วจึงเอาตัวอ่อนฝังเข้าไปในมดลูกของหญิงอุ้มบุญ

ในกรณีนี้หญิงอุ้มบุญไม่มีความเกี่ยวพันทางพันธุกรรมกับเด็กทารก ทำให้มีความผูกพันน้อยกว่า นอกจากนี้สำหรับผู้จ้างวานความพิถีพิถันในการคัดเลือกหญิงที่จะมาอุ้มบุญก็มีน้อยกว่าเช่นกัน เป็นคนละเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือสีผิวก็ไม่เป็นไร กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่หลายของธุรกิจอุ้มบุญข้ามชาติในปัจจุบัน

ตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการอุ้มบุญไม่ใช่ไทยแต่น่าจะเป็นอินเดีย เพราะนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกมากแล้วยังมีกฎหมายรองรับอีกด้วย ทำให้มีความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายน้อยลง

ประเทศรองลงไปน่าจะเป็นรัสเซียซึ่งถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง กว่าแต่กล่าวกันว่ามีกฎหมายอุ้มบุญที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก กล่าวคือให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้จ้างวานอย่างเต็มที่ สูติบัตรจะออกให้ภายในไม่กี่วันหลังคลอด โดยจะระบุชื่อผู้จ้างวานเป็นพ่อและแม่เท่านั้น ไม่มีชื่อของแม่อุ้มบุญ และในกรณีที่ไข่หรืออสุจิได้มาจากการบริจาคก็จะไม่ปรากฏชื่อของผู้บริจาคเช่นกัน

สหรัฐก็มีธุรกิจอุ้มบุญโดยค่าใช้จ่ายแพงกว่าอินเดียหรือไทยมาก แต่ถึงกระนั้นก็มีคนต่างชาติไปจ้างวานหญิงอเมริกันอุ้มบุญ

เหตุผลก็คือเด็กที่คลอดออกมาจะมีสัญชาติอเมริกันตามแม่อุ้มบุญ เมื่อเด็กบรรลุนิติภาวะก็จะสามารถยื่นขอกรีนการ์ดให้กับพ่อแม่ที่เป็นคนต่างด้าว

กลับมาที่ธุรกิจอุ้มบุญในประเทศไทย ผมขอพูดถึงประเด็นที่สำคัญ 2 ประเด็น ดังนี้

หนึ่ง ประเด็นด้านศีลธรรม บางศาสนาจะห้ามโดยเด็ดขาด เพราะถือเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ สำหรับพุทธศาสนาเข้าใจว่ายังไม่เคยมีการตีความเอาไว้ แต่โดยทั่วไปผมคิดว่าศาสนาของเราค่อนข้างจะเปิดกว้าง

ส่วนตัวผมเป็นพุทธศาสนิกชนที่ไม่ได้เคร่งครัดมากนักและไม่เห็นความจำเป็นที่ศาสนาจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประกอบกับผมมีความเชื่อว่าการอุ้มบุญส่วนใหญ่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ยังมีเรื่องผิดศีลธรรมและจริยธรรมที่ร้ายแรงกว่าอีกมากมาย เช่น ยาเสพติด การพนัน ตลอดจนการทุจริตคดโกง ที่เราควรให้ความสำคัญและช่วยกันขจัดให้หมดสิ้นไปจากสังคม

สอง ประเด็นด้านกฎหมาย กฎหมายอุ้มบุญในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน บางประเทศยังไม่มีกฎหมาย บางประเทศห้ามโดยเด็ดขาด บางประเทศห้ามเฉพาะธุรกรรมในเชิงพาณิชย์ บางประเทศให้ความคุ้มครองหญิงอุ้มบุญมากกว่า ส่วนบางประเทศให้ความคุ้มครองผู้จ้างวานมากกว่า

บางประเทศถือเป็นเรื่องของแต่ละท้องถิ่นที่อาจจะไม่เหมือนกัน เช่น ในสหรัฐเคยมีคดีตัวอย่างที่ผู้จ้างวานไปทำสัญญาอุ้มบุญในรัฐที่ให้ความคุ้มครองผู้จ้างวานมากกว่า ปรากฏว่าก่อนคลอดหญิงอุ้มบุญเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากสละสิทธิความเป็นแม่ จึงย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในรัฐที่กฎหมายให้ความคุ้มครองหญิงอุ้มบุญมากกว่า เกิดเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนทางกฎหมายตามมา

ส่วนตัวผมเห็นว่าเราควรมีกฎหมาย แต่เป็นกฎหมายที่เน้นไปในทางให้ความคุ้มครองสิทธิของเด็ก

เราคงต้องยอมรับกันว่าการห้ามโดยเด็ดขาดคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องสมประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย อาจจะมีข้อยกเว้นก็คือตัวเด็ก ซึ่งไม่สามารถช่วยตัวเองได้

บางคนอาจจะบอกว่าหญิงอุ้มบุญส่วนใหญ่เป็นคนด้อยโอกาสในสังคมและอาจถูกผู้จ้างวานที่เป็นชาวต่างชาติ รวมทั้งนายหน้าที่เป็นคนไทยด้วยกันเอารัดเอาเปรียบ กฎหมายจึงควรเน้นให้ความคุ้มครองหญิงอุ้มบุญ

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีส่วนจริง แต่ผมก็เชื่อว่าโดยทั่วไปหญิงที่รับจ้างอุ้มบุญได้รับการปฏิบัติที่ดี ไม่แพ้ผู้ใช้แรงงานไทยประเภทอื่น เพราะการอุ้มบุญเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ค่าจ้างจึงต้องจูงใจมากพอ นอกจากนี้ระหว่างตั้งครรภ์ก็น่าจะได้รับการดูแลดี รวมทั้งได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอ เพื่อให้เด็กเกิดมาแข็งแรง

ที่ผมอยากเห็นจากกฎหมายอุ้มบุญ คือ การสร้างความมั่นใจว่าเด็กที่เกิดมาจะมีพ่อแม่ที่ให้ความรักความอบอุ่น และสามารถเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นคนดีของสังคม

ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ที่มาจ้างวานจะต้องมีตัวตนจริง มีหลักแหล่ง และมีฐานะเพียงพอ ไข่และอสุจิที่ใช้จะต้องเป็นของตัวเอง หรือหากมีความจำเป็นต้องขอรับบริจาค เช่น เพราะเป็นหมัน ก็ต้องอย่างเดียวเท่านั้น และต้องมีหลักฐานทางการแพทย์ประกอบอย่างชัดเจน

จะต้องมีบทบัญญัติคุ้มครองเด็กเมื่อเกิดปัญหา เช่น ผู้จ้างวานตายหรือทอดทิ้งเด็ก หรือเด็กเกิดมาพิการ หรือไม่สมประกอบ เป็นต้น

และที่สำคัญเด็กควรจะได้รับการบอกเล่าในภายหลังว่าตนเองเกิดมาจากการอุ้มบุญ และมีสิทธิที่จะขอรู้ว่าใครเป็นคนอุ้มท้องตน เพื่อที่จะได้มีโอกาสกลับไปตอบแทนบุญคุณ

สุขสันต์วันแม่ย้อนหลังกันทุกคนนะครับ

ข่าวล่าสุด

ผู้ว่า ธปท. ห่วงบาทแข็งเร็ว สั่งตรวจเข้มทำธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์