รำลึกถึง ‘แม่น้ำฮัน’
โดย เพียงออ วิไลย [email protected]
รถไฟสายเดิม วิ่งผ่านโครงเหล็กสะพานข้ามแม่น้ำซี่แล้วซี่เล่า คลับคล้ายกับลูกกรงแห่งความลุ่มหลงที่กักขังอิสรภาพของหัวใจไม่มีวันถอดถอนออก แสงแดดตกกระทบขอบหน้าต่างบาดตา ทว่าไม่อาจทำให้
“เชกา” ละสายตาออกจากทิวระยิบระยับบนผิวน้ำสะท้อนแสงสีทองของตึกที่สูงที่สุดในเกาหลีนอกหน้าต่างได้ ... แม่น้ำอันกว้างใหญ่สายนี้หล่อเลี้ยงชีวิตของชาว “ฮันยาง” มานานนับหลายพันปี “ฮันคัง” ที่คิดถึง...วันนี้ขอพักการขบคิดปริศนาลึก ..ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก
“ตออะไรเอ่ยที่เรือเกาหลีใต้กลัวที่สุด ยูเอ็นกับคุณพ่อเป็นอะไรกันเอ่ย หรือประชาธิปไตยแบบไหนเอ่ยที่ยอมให้ไปเผาบ้านคนอื่น” ... คิดมาตั้งนานก็มิสามารถ เพราะเป็นปัญหาเชาวน์แกมลับลวงพราง หลอกกันไปหลอกกันมาจนประชาชนไม่รู้ว่าข้อมูลไหนจริงเท็จ ข่าวสารไม่บริโภคก็ไม่ทันเหตุการณ์ บริโภคมากไปก็งวยงงดังต้องมนตรา...เราไปพักสมองล่องเที่ยว “แม่น้ำฮัน (ฮันคัง – วัฐญ)” กันดีกว่าค่ะ“
ฮันคัง” เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านกลางกรุงโซลในปัจจุบัน มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำเล็ก 2 สายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำนัมฮัน (ฮันใต้ ณฒวั) ที่มีต้นน้ำในเกาหลีใต้ กับแม่น้ำปุ๊กฮัน (ฮันเหนือ บฯวั) จากต้นน้ำเทือกเขาคึมคังในเกาหลีเหนือไหลลงมาเกาหลีใต้ ...เงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ลักษณะนี้ทำให้กลายเป็นข้อพิพาทระหว่างสองเกาหลี ... ฝั่งใต้เกรงว่าจะถูกฝั่งเหนือกลั่นแกล้ง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยมลพิษลงในแม่น้ำ หรือการปล่อยน้ำหลากมาท่วมเมือง ซึ่งก็เป็นเรื่องมาหลายครั้ง จนเกาหลีใต้ต้องสร้างเขื่อนที่แปลกที่สุดในโลก คือ ไม่เก็บกักน้ำ แต่ขวางแม่น้ำปุ๊กฮันในเขตแดนตนเองไว้ ชื่อว่า เขื่อนแห่งสันติภาพ (ฦ๒ศญภว ด๏) ซึ่งรับน้ำได้ถึง 2,600 ล้านตัน เผื่อเกาหลีเหนือแกล้งปล่อยน้ำลงมาจะได้ปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลท่วมเมืองได้ทันไง ...อย่างไรก็ตาม โพรงกระต่ายน้อยยังมีทางเข้าออกหลายรูฉันใด ชายแดนธรรมชาติก็มีทางเข้าออกหลายทางฉันนั้น ... ปีที่แล้วฝั่งเหนือปล่อยน้ำออกจาก “เขื่อนฮวางคัง” ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาข่มขู่ฝั่งใต้ ประมาณว่า “ถ้างอแงมาก อั๊วจมเมืองลื้อได้ทันทีนาเฟ้ย” เพราะเขื่อนนี้ห่างจากชายแดนเพียง 5 กม. ... คืนนั้นน้ำจากเขื่อนไหลบ่าลงใต้ทันใดโดยไร้สัญญาณเตือน โถมเข้าสู่แม่น้ำอิมจินอีกสายหนึ่งที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ “แต่ไม่ได้สร้างเขื่อนฉุกเฉินกั้นไว้” จึงท่วมล้นคร่าชีวิตชาวบ้านเกาหลีใต้ไปถึง 6 คน ...อุ๊ย! วกเข้าประเด็นร้อนๆ จนได้ ..จงกลับมาประเด็นเดิมในทันใด...สายน้ำฮันคัง มีความยาวเป็นอันดับสี่ของเกาหลีใต้ ด้วยระยะทางตั้งแต่ต้นน้ำจนออกปากอ่าวทะเลรวม 514 กม. คำว่า
“ฮัน (๙ำ)” ชื่อของแม่น้ำสายนี้มีความหมายถึง คน หรือชาวจีนฮั่นในอดีต แสดงว่าจีนโบราณมีอิทธิพลอยู่บนคาบสมุทรแห่งนี้ มิใช่ “ฮัน (๙)” ที่แปลว่า ประเทศเกาหลีปัจจุบัน “ฮันคัง” จึงเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่อาณาจักรโบราณน้อยใหญ่ต้องการที่จะยึดครอง...แท๊น แท้น ... มาแล้วค่ะ “แพกเจ” หนึ่งในสามอาณาจักรโบราณพันกว่าปีก่อน เป็นเจ้าแรกที่ครองสายน้ำฮันไว้ เพราะเห็นชัยภูมิเป็นต่อ แม่น้ำฮันเป็นเส้นทางน้ำเชื่อมจากใจกลางคาบสมุทรออกสู่ที่ราบลุ่มฝั่งตะวันตกอันอุดมสมบูรณ์ ก่อนออกสู่ชายฝั่งทะเลเหลือง หากเทียบกับฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นเขาสูงชันแล้วนับว่าต่างกันหลายขุม... ต่อมา “โคคูรยอ” พยายามชิงพื้นที่ แต่ดันตกไปเป็นของ “ซิลลา” ประวัติศาสตร์หมุนไปมา สุดท้ายเมื่อ “ราชวงศ์โชซอน” ครองเกาหลี จึงได้ย้ายเมืองหลวงมายังเมือง “ฮันยาง” ริมฝั่ง “ฮันคัง” ซึ่งกลายมาเป็นกรุงโซลในปัจจุบัน “สายน้ำฮันคัง” จึงเป็นพยานรู้เห็นสงคราม ความรัก และเป็นฉากสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชนชาติของเกาหลีหลายยุคหลายสมัยแม่น้ำสายอื่น ต่างยกย่องแกมอิจฉานิดๆ ให้
“ฮันคัง” เป็นไฮโซของจริงที่สุดในบรรดาคุณแม่น้ำทั้งหลายในเกาหลี เพราะเธอไหลผ่านเมืองหลวง จึงได้รับการดูแลและมีเครื่องประดับประดาตกแต่งสวยงาม “เฮียดำ” เพื่อนชาวไทยลูกจีนของ “เชกา” เพิ่งไปเที่ยวกลับมาชมเปาะไม่ขาดปากว่าเธอแจ่มจริงๆ...ก่อนหน้านั้น
“ฮันคัง” ก็เหมือน เด็กกะโปโล ไม่ต่างจากแม่น้ำในประเทศกำลังพัฒนาทั่วไปที่ปล่อยทิ้งน้ำเสียจากอาคารบ้านเรือนและโรงงานลงก่อนบำบัด บ้านช่องประชาชนปลูกแน่นขนัดริมน้ำ ... สมัยเด็ก “เชกา” เคยพบฝรั่งคนหนึ่งที่เคยไปอยู่เกาหลีมา เขาเล่าว่า เกาหลีสกปรก แม่น้ำลำคลองเน่าเหม็น ไม่เห็นมีอะไรดี แต่เมื่อเชกาไปถึงจริงๆ ไม่เหมือนกับที่เขาเล่า เป็นเพราะการจัดระเบียบของเมืองโซลใหม่หลังจากประเทศอู้ฟู่ร่ำรวยขึ้นในต้นยุค ’80 เป็นต้นมา รัฐบาลเอาจริงเอาจัง เวนคืนรื้อถอนอาคารริมน้ำ ทำถนนไฮเวย์สายใหญ่วิ่งเลียบแม่น้ำระยะทางหลายสิบกิโลเมตรไปสู่เมืองใหม่ที่สร้างขึ้นรองรับการขยายตัวของประชากรเมือง จัดผังเมืองโซนนิงอพาร์ตเมนต์ที่พักอาศัยเสียใหม่ กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง ทำให้บ้านเมืองดูสดใสสะอาดตามากค่ะหากจะถามว่า
“ทำแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ อย่างนั้นเอาไหม” ทัศนะส่วนตัว ไม่เอาค่ะ เพราะสายน้ำเป็นวิถีชีวิตธรรมชาติดั้งเดิมของเรา เป็นเอกลักษณ์ ที่ก่อเกิดวัฒนธรรมประเพณีตั้งแต่สุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ แม้แต่ฝรั่งยังต้องมานั่งเรือดูวิถีชีวิตและเด็กแก้ผ้าโดดน้ำเล่น จึงไม่ควรต้องไปสร้างเมืองใหม่ให้เหมือนกับใครเป๊ะ ... แต่เราต้องมีการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง มีกลไกช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการบำบัดของเสียที่สะดวกและง่ายให้ชุมชน และรัฐควรเข้าไปช่วยผู้ที่พักอาศัยริมน้ำให้สามารถรักษาบ้านเรือนให้เป็นระเบียบสะอาดตาได้...อ้าว...ยังไม่ทันเริ่มเที่ยวเลยค่ะ...

