ขุมกำลังสนช.'57องครักษ์พิทักษ์"คสช."
ทั้งหมดนี้ คือ คนที่ คสช.คัดสรรมาอย่างดีแล้วว่าจะสามารถผลักดันให้การทำงานด้านการปฏิรูปประเทศออกมาได้อย่างสัมฤทธิผล
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
คลอดออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” (สนช.) ซึ่งเบื้องต้นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จัดกำลังไว้ที่ 200 คน จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เต็มเพดานจำนวน 220 คน โดยจำนวนที่ว่างอีก 20 ที่นั่งที่เหลือ คาดว่า คสช.อาจจะมีการแต่งตั้งเพิ่มเติมในอีกเร็วๆ นี้ หลังจากเดือน ก.ย.ที่จะมีนายทหารระดับหัวแถวเกษียณเป็นจำนวนมาก หรือสำรองไว้เพื่อส่งคนที่เป็นมือฉมังด้านกฎหมายเข้าไปทำงาน
สำหรับโครงสร้างของ สนช.จำนวน 200 คน ที่ปรากฏออกมาในเฟสแรกนั้น พบว่ามี นายทหารระดับสูงพาเหรดเข้าสภาเป็นจำนวนมาก แบ่งเป็นทหารทุกเหล่าทัพรวม 92 คน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจรวมกัน 39 คน อดีต สนช. ปี 2549 และอดีต สว. 32 คน มหาวิทยาลัย 12 คน ภาคธุรกิจ 8 คน ตำรวจ 7 คน องค์กรอิสระ 6 คน และภาคอื่นๆ 4 คน
สัดส่วนของกองทัพที่สูงมากได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เนื่องจากการทำงานในมิตินิติบัญญัติต่างกับการทำหน้าที่ในภาคสนามของทหารอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ เรียกได้ว่า “บุ๋นต้องนำบู๊” ไม่ใช่ “บู๊นำบุ๋น” ไม่สามารถเอาความต้องการของตัวเองมาก่อนได้ แต่ต้องใช้ความประนีประนอมให้การทำงานสามารถผ่านไปได้
แต่ในด้านหนึ่ง การเอาทหารเข้ามาจะช่วยในเรื่องของการควบคุมองค์ประชุม สนช.ไม่ให้เกิดสภาพ “ล่มกลางทาง” เหมือนกับในอดีตที่เมื่อปี 2549 สนช.ในเวลานั้นได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติหลายฉบับในสภาพที่องค์ประชุมไม่ครบก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้เป็นโมฆะในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นรอยด่างสำคัญที่ทำให้ สนช.ชุดก่อนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ดังนั้นเมื่อทหารได้กลายสภาพมาเป็นเสียงข้างมากในสภาเวลานี้จึงอาจช่วยให้ปัญหาดังกล่าวนี้หมดไปได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เหนืออื่นใดอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ สนช.ในชุดนี้มีความแข็งแกร่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา คือ สายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงเป็นใยแมงมุมอยู่ใน สนช. โดยคอนเนกชั่นที่ว่านั้นมีส่วนเชื่อมโยงกันอยู่ 3 ส่วนสำคัญ
ส่วนที่ 1 สายใยบิ๊กป้อม-บิ๊กตู่ : ขุมกำลังกลุ่มนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษา คสช. และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้า คสช. ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งทางตรงผ่านความสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องร่วมสายโลหิต เช่น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชาย พล.อ.ประวิตร ที่เพิ่งได้รับการยกโทษให้ปลดออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร. จาก คสช. ก่อนสวมสูทเดินเข้าสภา พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีต สว.สรรหา น้องชาย พล.อ.ประวิตร อีกราย พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์
ขณะที่ความสัมพันธ์ทางอ้อม คือ ในฐานะเตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 6 ร่วมรุ่นกับ พล.อ.ประวิตร และ ตท.รุ่น 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ เช่น “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษา คสช. เพื่อนรัก พล.อ.ประวิตร เช่นเดียวกับ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตท.6
ส่วนเพื่อน ตท.12 ก็ตบเท้าเข้ามาหลายราย อาทิ พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ อดีต สว.ชุมพร และอดีตประธานคณะกรรมาธิการการทหาร วุฒิสภา พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ประธานคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปประเทศเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ กระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.นพดล โชคระดา รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ ที่ปรึกษารองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร อดีตที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก เป็นต้น
ส่วนที่ 2 เครือข่าย ปรอ.รุ่นที่ 20 : ในกลุ่มนี้จะเป็นสมาชิก สนช.ที่มีสถานะเป็นอดีตนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 20 ร่วมรุ่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อครั้งหัวหน้า คสช.ยังครองยศพลโท ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ได้แก่ พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ รองผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเหตุผลที่ได้เป็นสมาชิก สนช.หลังจากถูกโยกย้ายอาจมาจากสายสัมพันธ์ตรงนี้ พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.ท.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการ กองบัญชาการกองทัพไทย พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
นอกจาก ปรอ.รุ่นที่ 20 แล้ว สนช.ยังมีคอนเนกชั่นของ “วปอ.รุ่น 50” รวมอยู่ด้วย โดยผ่านนักเรียน วปอ. 50 ที่เป็น ตท.12 ประกอบด้วย พล.อ.จีระศักดิ์ ชมประสพ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.อ.ชนัท รัตนอุบล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ เอี่ยมสุนทร ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ ตท.12 พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตท.12 พล.อ.อ.ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม วิทยา ฉายสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ส่วนที่ 3 กลุ่มอดีต สว. : จุดเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอดีต สว.กับ คสช. คือ “พล.ต. กลชัย” อดีต สว.ชุมพร ตท.12 และ “พล.ร.อ.ศิษฐวัชร” น้องชาย พล.อ.ประวิตร ซึ่งจะมีบทบาทอย่างมากในการประสานงานการทำงานกับกลุ่มอดีต สว.ที่ได้เป็น สนช. 22 คน โดยเฉพาะกลุ่ม 40 สว.ที่ได้โอกาสสวมเสื้อ สนช. ไม่ว่าจะเป็น สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ตวง อันทะไชย สมชาย แสวงการ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีต สว.สรรหา เป็นต้น
กลุ่ม สนช.ที่มาจากอดีต สว.เหล่านี้ ถูก คสช.วางบทบาทให้ช่วยทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย เนื่องจากเป็นฝ่ายที่มีความเชี่ยวชาญในงานนิติบัญญัติ ทั้งการปรับถ้อยคำในตัวกฎหมายและการอ่านข้อบังคับการประชุม สนช.ได้อย่างแตกฉาน เพื่อป้องกันไม่ให้การทำงานของ สนช.เกิดรอยรั่วจนเป็นช่องให้ฝ่ายการเมืองในอนาคตเอามาเป็นประเด็นไปยื่น ศาลรัฐธรรมนูญได้อีก
ขุมกำลังทั้งหมดนี้ คือ คนที่ คสช.คัดสรรมาอย่างดีแล้วว่าจะสามารถผลักดันให้การทำงานด้านการปฏิรูปประเทศออกมาได้อย่างสัมฤทธิผล อันจะเป็นผลงานที่ช่วยค้ำเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับชายชาติทหารที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในอนาคต


