"หากเลือกได้ก็ไม่ควรทำ"อุทาหรณ์จากแม่อุ้มบุญ
แม่ อุ้มบุญ ชาวไทย วอนใครจะคิดอุ้มบุญ ควรตระหนักถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น น้องแกรมมี่ เป็นตัวอย่าง
แม่ อุ้มบุญ ชาวไทย วอนใครจะคิดอุ้มบุญ ควรตระหนักถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น น้องแกรมมี่ เป็นตัวอย่าง
จากกรณีข่าว สามีภรรยา ชาวออสเตรเลีย ที่ว่าจ้างให้หญิงไทยในจังหวัดชลบุรี มาอุ้มท้องบุตรให้ หรือที่เรียกว่า การอุ้มบุญ โดยเป็นลูกแฝดชายและหญิง แต่ปรากฏว่าเมื่อคลอดออกมา เด็กชายมีอาการดาวน์ซินโดรม ทำให้ครอบครัวชาวออสเตรเลียไม่รับเด็กชายไปด้วย และทิ้งไว้ให้แม่อุ้มบุญเป็นผู้ดูแลนั้น
ล่าสุดแม่อุ้มบุญชาวไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อหวังเตือนให้ผู้ที่คิดจะเป็นแม่อุ้มบุญคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนจะตัดสินใจทำ พร้อมระบุว่า "หากเลือกได้ก็ไม่ควรทำดีกว่า
เธอระบุว่า ใครจะไปรับเป็นแม่อุ้มบุญให้คนอื่นนั้น ควรคิดให้ดีไม่ใช่ เพียงแค่เงินมาเป็นแรงจูงใจให้ทำเท่านั้น เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาในกรณีที่ตนประสบอยู่เช่นนี้ คนที่รับผิดชอบต่อตัวเด็กก็คือตัวของแม่อุ้มบุญเอง และหากแม่อุ้มบุญไม่มีความสามารถในการดูแลเด็กก็จะเป็นภาระต่อสังคมในอนาคตต่อไป
"หากเลือกได้ก็ไม่ควรทำดีกว่า เพราะจะเกิดผลกระทบในหลายๆอย่าง เช่น ด้านจิตใจของเด็ก เพราะเมื่อเด็กเกิดขึ้นมาแล้ว ก็อยากรู้ว่าแม่และพ่อที่แท้จริงของเขาเป็นใคร และฝากบอกถึงผู้ที่หาหญิงไทยให้เป็นแม่อุ้มบุญให้นั้น เมื่อเด็กทุกคนที่เกิดขึ้นมามีเลือดเนื้อ มีชีวิต และความรู้สึกเหมือนเราทุกๆคน แม้จะไม่สมประกอบหรือพิการ แต่เป็นเชื้อของคุณและเป็นเลือดเนื้อของคุณ ซึ่งไม่ใช่เหมือนมาเลือกซื้อสิ่งของ ว่าชิ้นนั้นดีชิ้นนั้นไม่ดี โดยชิ้นที่ไม่ดีก็ไม่ต้องเอาไปและทิ้งไว้ เป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก"แม่อุ้มบุญระบุกล่าว
แม่อุ้มบุญรายนี้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจอุ้มบุญว่า ได้่เล่นเฟซบุ๊กและพบครอบครัวชาวออสเตรเลีย ที่มีการโฆษณาว่า มีงานให้ทำและมีรายได้ดี จึงสนใจ เพราะปัจจุบันก็มีบุตรแล้ว 2 คน จึงติดต่อไป เพราะต้องการรายได้ไปช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งเป็นการอุ้มบุญให้กับครอบครัวของชาวออสเตรเลียได้ตกลงกันไว้ที่ 300,000 บาท และหากได้ลูกแฝดจะเพิ่มให้เป็น 350,000 บาท หลังจากนั้นครอบครัวชาวออสเตรเลียก็มารับไปกรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นแม่อุ้มบุญ โดยครอบครัวชาวออสเตรเลียได้เอาใจใส่และดูแลเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
"ในช่วง 4 เดือน ที่ตั้งครรภ์แฝดหญิงและชายนั้น ทางโรงพยาบาลมีการเจาะเลือดเพื่อไปตรวจสอบ และทางครอบครัวชาวออสเตรเลียทราบ แต่ไม่ได้แจ้งให้ทราบ ว่า เด็กเป็นดาวน์ซินโดรม จนมาถึง 7 เดือนกว่า ทางครอบครัวโทรศัพท์แจ้งให้เอาเด็กออก แต่ตนไม่ยอมและให้เอาไว้เช่นนี้ จนเด็กคลอดออกมา
"จากนั้นครอบครัวได้นำเด็กหญิงดังกล่าวไปเลย ส่วนผู้ชายนั้นไม่ได้เอาไปด้วย โดยอ้างว่าถ้านำไปด้วยก็ต้องนำไปไว้ที่มูลนิธิ เนื่องจากไม่สามารถดูแลได้ จึงตัดสินใจรับตัวเด็กผู้ชายไว้ เพราะหากอยู่ที่มูลนิธิ คงดูแลได้ไม่เหมือนพ่อแม่ ที่สำคัญสงสารเด็กมากที่คลอดมาแล้วเป็นเช่นนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเด็กเลย เป็นเพราะความผิดพลาดจากผู้ใหญ่แล้วทำไมเด็กต้องมารับผิดชอบด้วย ดังนั้นจึงรับดูแลแม้จะลำบากก็ยินดี"
เธอเล่าอีกว่า ในช่วงแรกมีความกังวลมากในการดูแลเด็กชาย แต่เมื่อเป็นข่าวขึ้นมา ก็มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือ เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ หรือ มูลนิธิสายเด็ก 1387 ฮอตไลน์ มูลนิธิอึ้งทรงธรรม มูลนิธิ แฮนด์ อะครอส เดอะ วอเตอร์ โดยเข้ามาช่วยเหลือเป็นจำนวนมากก็ดีใจแทนน้อง โดยไม่ต้องมากังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป และขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาช่วยเหลือ


