เจ้าจอมมารดาอำภา ในรัชกาลที่ 2 (จบ)
เจ้าจอมมารดาอำภาได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เจ้าจอมมารดาอำภาได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในฐานะพระสนมได้มีพระราชโอรสธิดา ดังต่อไปนี้
1.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากปิตถา กรมหมื่นบริรักษ์ ได้ว่าราชการในกรมพระอาลักษณ์ ทรงเป็นต้นราชสกุลกปิตถา
2.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ได้ทรงกำกับกรมนครบาล กรมหมอ กรมช่างเคลือบช่างหุงกระจก กรมญวนหก ได้ว่ากรมท่า ทรงเป็นต้นราชสกุลปราโมช
3.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเกยูร
4.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัญฐา
5.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณี
6.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากนิษฐน้อยนารี
นอกจากเจ้าจอมมารดาอำภาจะเป็นที่สนิทเสน่หาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว ท่านยังเป็นเจ้าจอมมารดาที่เจ้าระเบียบทั้งในทางขนบธรรมเนียมประเพณีแบบไทย ด้านมารยาทและการแบบชาววังจนตลอดชีวิต คือ นุ่งผ้าจีบและห่มสไบสีตามวัน ครั้นชาววังทั้งหลายเปลี่ยนมาโจงกระเบนท่านมิได้เปลี่ยนตาม ส่วนภาษาจีนท่านก็ไม่ลืม และยังได้สอนภาษาจีนให้กับเจ้านายผู้หญิงในกรมขุนวรจักรธรานุภาพด้วย เมื่อมีญาติพี่น้องจากเมืองจีนเข้าไปพบท่านที่ในวังท่านก็พูดภาษาจีนด้วย
เจ้าจอมมารดาอำภาเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นอันมาก ขณะที่ยังทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ ท่านได้ทำเครื่องเสวยคาวหวานและผลไม้ส่งออกจากในวังไปถวายเพลเป็นครั้งคราวมิได้ขาด และยังได้นำพระองค์เจ้าปราโมช บุตรชายคนเล็กไปถวายเป็นศิษย์ทูลกระหม่อมพระ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) ด้วย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวไว้ในหนังสือโครงกระดูกในตู้อีกตอนหนึ่งว่า “ด้วยความจงรักภักดีอันแน่นแฟ้น ที่เจ้าจอมมารดาอำภามีต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงตรัสเรียกเจ้าจอมมารดาอำภาว่า ‘แม่ภา’ แต่เพียงคนเดียวในบรรดาเจ้าจอมและเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ 2 นับว่าทรงยกย่องเป็นพิเศษ ท่านผู้อื่นนั้นตรัสเรียกหรือตรัสถึงแต่นามเฉยๆ มิได้ใช้คำว่า ‘แม่’ นำหน้านาม”
เจ้าจอมมารดาอำภาท่านรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนพระราชทรัพย์ เนื่องจาก “...ท่านทรงผนวชมาแต่ทรงพระเยาว์ และลาผนวชมาเสวยราชสมบัติ ไม่มีเวลาที่จะสะสมพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เงินแผ่นดินนั้นต้องทรงใช้จ่ายในราชการแผ่นดินจะใช้สอยส่วนพระองค์อัตคัด...”
ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เจ้าจอมมารดาอำภามีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านก็จะรวบรวมเงินส่วนตัวของท่านใส่ถุงตีตราคราวละมากๆ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงใช้จ่ายตามพระราชอัธยาศัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในน้ำจิตน้ำใจความจงรักภักดีของเจ้าจอมมารดาอำภาเป็นอย่างดี จึงทรงเมตตายกย่องเจ้าจอมมารดาอำภาให้ปรากฏอยู่เสมอ เช่น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าจอมมารดาอำภาเป็นผู้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และพระเจ้าลูกเธอแรกประสูติหลายพระองค์ นอกจากนี้ยังได้พระราชทานพระเมตตาเผื่อแผ่ไปถึงพระราชโอรสที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอำภาด้วย ดังเรื่องราวที่เล่ากันสืบมาว่า เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ให้ดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศนั้น ได้แสดงความในพระราชหฤทัยให้เจ้านายข้าราชการขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ในพระราชพิธีนั้นได้ประจักษ์ถึงพระราชดำริเกี่ยวกับผู้สมควรแก่การสืบพระราชบัลลังก์ว่า ทรงเห็นว่ามีพระบรมวงศ์ที่มีพระคุณสมบัติเหมาะสมอยู่ 4 พระองค์ คือ 1.กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ 2.กรมหมื่นบำราบปรปักษ์ 3.กรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ 4.กรมหมื่นอักษรสาส์นโสภณ แต่เจ้านายทั้ง 4 พระองค์ที่ทรงเอ่ยพระนามมานั้น ทรงตระหนักดีว่าผู้ที่มีความเหมาะสมในการสืบต่อราชสมบัติคือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ พระองค์เดียวเท่านั้น จึงทรงทำหน้าที่เพียงข้าแผ่นดินรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีตลอดพระชนม์ชีพถ้วนทั่วทุกพระองค์
เจ้าจอมมารดาอำภามีชีวิตยืนยาวมาถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ถึงแก่อนิจกรรม ยังคงเหลือทายาทสืบสานสายโลหิตเป็นปราชญ์คนสำคัญของไทยในยุคต่อมาที่เป็นที่เคารพยกย่องของสังคมไทยโดยส่วนรวม คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นั่นเอง


