posttoday

ความยาวนานของเดือนจันทรคติ

27 กรกฎาคม 2557

ดวงจันทร์โคจรรอบโลกพร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตามมุมตกกระทบของแสงอาทิตย์บนพื้นผิวของดวงจันทร์

โดย...วรเชษฐ์ บุญปลอด

ดวงจันทร์โคจรรอบโลกพร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตามมุมตกกระทบของแสงอาทิตย์บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ที่เราเรียกว่าเดือนจันทรคติ หรือเดือนดิถี ซึ่งก็คือการเกิดข้างขึ้นข้างแรมนั่นเอง อันเป็นรากฐานของเดือนในปฏิทินสุริยคติและใช้กำหนดเดือนในปฏิทินจันทรคติ

ความยาวนานของเดือนจันทรคติมีค่าเฉลี่ย 29.530588 วัน หรือ 29 วัน 12 ชั่วโมง 44 นาที ปฏิทินจันทรคติไทยจึงกำหนดให้เดือนที่เป็นเลขคู่มี 30 วัน เรียกว่าเดือนเต็ม แรม 15 ค่ำ เป็นวันสุดท้ายของเดือน ส่วนเดือนที่เป็นเลขคี่มี 29 วัน เรียกว่าเดือนขาดแรม 14 ค่ำ เป็นวันสุดท้ายของเดือน เฉลี่ยแล้วแต่ละเดือนจึงยาวนาน 29.5 วัน ส่วนต่างอีก 0.03 วัน ชดเชยได้ด้วยการกำหนดให้มีอธิกวารในเดือน 7 ของบางปี ซึ่งจะมีวันแรม 15 ค่ำ เพิ่มเข้ามาอีก 1 วัน เพื่อให้ใกล้เคียงกับตัวเลขทางดาราศาสตร์

ในความเป็นจริงแล้ว ดวงจันทร์บนท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงดิถีด้วยคาบไม่คงที่ บางช่วงสั้นกว่า 29.5 วัน บางช่วงยาวกว่า 29.5 วัน หากเราวัดเวลาจากจันทร์เพ็ญครั้งหนึ่งถึงจันทร์เพ็ญครั้งถัดไป หรือจันทร์ดับครั้งหนึ่งถึงจันทร์ดับครั้งถัดไป ระยะเวลาดังกล่าวสามารถเบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยได้หลายชั่วโมง แปรผันอยู่ระหว่าง 29 วัน 6 ชั่วโมง ถึง 29 วัน 20 ชั่วโมง

สาเหตุที่ทำให้ความยาวนานของเดือนจันทรคติไม่คงที่ เกิดจากวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกที่เป็นรูปวงรี มีจุดใกล้โลกที่สุดและจุดไกลโลกที่สุดอยู่ตรงข้ามกัน นักดาราศาสตร์พบว่าเดือนจันทรคติจะสั้นที่สุดเมื่อดวงจันทร์โคจรอยู่บริเวณจุดใกล้โลกที่สุด ทำให้ดวงจันทร์เคลื่อนที่เร็วขึ้น และเดือนจันทรคติจะยาวที่สุดเมื่อดวงจันทร์โคจรอยู่บริเวณจุดไกลโลกที่สุด ทำให้ดวงจันทร์เคลื่อนที่ช้าลง แรงโน้มถ่วงรบกวนจากดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์อื่นก็มีส่วนทำให้การเคลื่อนที่ของดวงจันทร์มีความซับซ้อน

ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ก็มีผลต่อความยาวนานของเดือนจันทรคติ กล่าวคือ เมื่อโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในต้นเดือน ม.ค. โลกเคลื่อนที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ย ดวงจันทร์จึงต้องใช้เวลามากขึ้นในการโคจรรอบโลกให้ครบดิถี ระยะเวลาของเดือนจันทรคติจึงยาวนานขึ้นเล็กน้อย และเมื่อโลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุดในต้นเดือน ก.ค. โลกเคลื่อนที่ช้ากว่าค่าเฉลี่ย ดวงจันทร์จึงใช้เวลาน้อยลงในการโคจรรอบโลกให้ครบดิถี ระยะเวลาของเดือนจันทรคติจึงสั้นลงเล็กน้อย

ตัวอย่างของเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้ ระยะเวลาระหว่างจันทร์เพ็ญในวันที่ 12 ก.ค. 2557 เวลา 18.25 น. ถึงจันทร์เพ็ญในวันที่ 11 ส.ค. 2557 เวลา 01.09 น. ห่างกัน 29 วัน 6 ชั่วโมง 44 นาที เดือนดิถีจึงสั้นที่สุดในปีนี้ อยู่ในห้วงเวลาที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกที่สุดในวันที่ 11 ส.ค. ขณะที่โลกก็เพิ่งผ่านจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดมาเมื่อต้นเดือน ก.ค.

ความยาวนานของเดือนจันทรคติ

 

ผู้เขียนพบว่านี่เป็นระยะเวลาระหว่างจันทร์เพ็ญสองครั้งติดต่อกันที่สั้นที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย.ก.ค. 2556 (ครั้งนั้นสั้นกว่านี้ 1 นาที) และไม่มีครั้งใดที่สั้นกว่านี้อีกไปจนถึงช่วงเดือน ก.ค.ส.ค. 2574

หากย้อนไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2556ม.ค. 2557 ระยะเวลาระหว่างจันทร์เพ็ญในวันที่ 17 ธ.ค. 2556 เวลา 16.28 น. ถึงจันทร์เพ็ญในวันที่ 16 ม.ค. 2557 เวลา 11.52 น. ห่างกัน 29 วัน 19 ชั่วโมง 24 นาที เดือนดิถีจึงยาวที่สุดในปีนี้ อยู่ในห้วงเวลาที่ดวงจันทร์อยู่ไกลโลกที่สุดในวันที่ 16 ม.ค. ขณะที่โลกก็ผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเมื่อต้นเดือน ม.ค. 2557

ความยาวนานของเดือนดิถีที่แปรผันได้เช่นนี้ ทำให้ปฏิทินจันทรคติไทย ซึ่งไม่ได้อ้างอิงกับการคำนวณตำแหน่งดวงจันทร์บนท้องฟ้าจริง แต่มีการสลับกันระหว่าง 29 กับ 30 วัน ในเดือนคี่และเดือนคู่มีโอกาสคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไป ดังที่เราจะพบได้อยู่เป็นระยะๆ ตัวอย่างเช่น วันที่ 24 ต.ค. 2538 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย แต่ปฏิทินจันทรคติไทยตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ แทนที่จะเป็นแรม 1415 ค่ำ หรือขึ้น 1 ค่ำ อนาคตเราก็จะพบความคลาดเคลื่อนในทำนองเดียวกันนี้ อย่างจันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 4 เม.ย. 2558 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปฏิทินจันทรคติไทยจะตรงกับแรม 1 ค่ำ แทนที่จะเป็นขึ้น 15 ค่ำ เป็นต้น

หากเราต้องการให้ปฏิทินจันทรคติไทยสอดคล้องกับดวงจันทร์บนท้องฟ้าจริงก็ต้องมีการปฏิรูป ทางหนึ่งคือละทิ้งกฎเกณฑ์แบบเดิมๆ ที่เคยใช้กันมาปล่อยให้ความยาวนานของเดือนจันทรคติ ไม่ว่าจะเป็นเดือนคู่หรือเดือนคี่ สามารถยืดหยุ่นได้ สอดคล้องกับจันทร์เพ็ญจริงหรือจันทร์ดับจริง ไม่กำหนดตายตัวแบบที่ใช้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่การกำหนดเดือนและอธิกมาสยังควรให้สอดคล้องกับตำแหน่งดาวและฤดูกาลตามเจตนารมณ์เดิม เชื่อว่าจะช่วยให้ปฏิทินตรงกับดวงจันทร์มากขึ้น สามารถลดข้อครหาที่ว่าปฏิทินจันทรคติไทยคลาดเคลื่อนไปจากดวงจันทร์จริงบนท้องฟ้าได้

ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (27 ก.ค.-3 ส.ค.)

เวลาหัวค่ำมองเห็นดาวอังคารกับดาวเสาร์อยู่สูงบนท้องฟ้าด้านทิศใต้ เยื้องไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ดาวอังคารอยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาว ดาวเสาร์อยู่ในกลุ่มดาวคันชั่ง ทางซ้ายมือของดาวอังคาร ดาวเคราะห์ทั้งสองมีความสว่างใกล้เคียงกัน ดาวอังคารตกลับขอบฟ้าในเวลา 5 ทุ่มครึ่ง ส่วนดาวเสาร์ตกตามหลังไปในอีก 1 ชั่วโมง

ดาวศุกร์ขึ้นเหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกตั้งแต่เวลาตี 4 ครึ่ง เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างจะเห็นดาวศุกร์เคลื่อนสูงขึ้น แต่ไม่สูงมากนัก ดาวศุกร์กำลังเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ทำให้ขึ้นช้าลงทุกวันและอยู่สูงจากขอบฟ้าไม่มาก อาจมีเวลาสังเกตได้ไม่นานก่อนท้องฟ้าจะสว่างกลบแสงของดาวศุกร์

หลังจันทร์ดับในวันที่ 27 ก.ค. จะเข้าสู่ข้างขึ้น จันทร์เสี้ยวอยู่บนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำของทุกวัน วันที่ 29 ก.ค. ดวงจันทร์ผ่านใกล้ดาวหัวใจสิงห์ในกลุ่มดาวสิงโตที่ระยะ 6 องศา จากนั้นคืนวันที่ 2 ส.ค. จะเห็นดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวรวงข้าวในกลุ่มดาวหญิงสาวที่ระยะ 3 องศา คืนวันที่ 3 ส.ค. ดวงจันทร์ผ่านใกล้ดาวอังคารที่ระยะ 2 องศา และสว่างครึ่งดวงในต้นสัปดาห์ถัดไป

ค่ำวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. สถานีอวกาศนานาชาติจะโคจรผ่านเหนือประเทศไทย กรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียงเริ่มเห็นสถานีอวกาศใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเวลา 19.47 น. จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางซ้าย ผ่านใกล้ดาวแอนทาเรสหรือดาวปาริชาตในกลุ่มดาวแมงป่อง สถานีอวกาศถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเวลา 19.50 น. ที่มุมเงย 60 องศา แล้วเคลื่อนเข้าสู่เงามืดของโลกในอีก 3 นาทีถัดมา ขณะปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (เวลาอาจคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย)

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์