ความลับห้อง15แห่งคุกเปรย์ซอว์
ได้ยินเสียงผู้คุมลั่นกุญแจเหมือนมีดเสียดแทงหัวใจ ความสว่างก็ดับวูบ เพราะหมายถึงต้องอยู่ในห้องขังจนเวลา 08.00 น. ของอีกวัน
เรื่อง : ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว,ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์ / ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
กลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันสำหรับครอบครัว “สมความคิด” หลังประเทศกัมพูชาได้พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ “วีระ สมความคิด” แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ พ้นจากการถูกจองจำอยู่ในเรือนจำเปรย์ซอว์ ในคดีโจรกรรมข้อมูล และเข้าเมืองผิดกฎหมายกัมพูชา เมื่อวันที่ 1 ก.ค.
หลังได้รับอิสรภาพ กลับสู่ประเทศไทย วีระได้เปิดใจกับ “โพสต์ทูเดย์” ถึงความเป็นอยู่ในคุกเขมร เป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน ว่า ชีวิตต้องทนทุกข์ทรมาน และวินาทีที่ทราบว่ากัมพูชาคืนอิสรภาพให้ ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรทั้งนั้น เพราะตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเรือนจำใช้ธรรมะข่มจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
วีระเล่าถึงความเป็นอยู่ในคุกเปรย์ซอว์ว่า ปีแรกยอมรับเลยว่าไม่ไหว คิดถึงบ้าน ทรมาน และก็ถูกละเมิดสิทธิ ไม่ให้อ่าน ไม่ให้เขียนหนังสือ หรือบันทึกอะไรเลย ซึ่งต่างกับนักโทษคนอื่นที่สามารถทำได้หมด เขาหวังทรมานให้ตรอมใจ แล้วตายไปเอง เพราะรู้ว่าตัวเองมีโรคประจำตัว เหมือนกรณีอากง (อดีตนักโทษคดี 112) มีโรคประจำตัวติดคุกไม่นานตายเลย ถ้าทำใจไม่ได้ ถือเป็นวิธีฆ่าไม่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ สถานทูตไทยในกัมพูชาได้อ้อนวอนให้ผ่อนปรนเรื่องการอ่านหนังสือ แต่กัมพูชาไม่เคยให้ กระทั่ง 6 เดือน ก่อนได้รับการปล่อยตัว เพิ่งได้อ่านหนังสือ ซึ่งกว่าจะได้อ่าน ทางกัมพูชาต้องขอตรวจสอบก่อน และต้องให้ทางกาชาดเป็นผู้ไปจัดซื้อเท่านั้น ญาติจะซื้อให้ไม่ได้
กิจวัตรประจำวันในช่วงที่ไม่ได้อ่านหนังสือ วีระบอกว่า ก็ใช้ธรรมะซึ่งปฏิบัติมานาน เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เอาเวลาว่างทั้งหมดตั้งแต่ตื่นเวลา 05.00 น. มาสวดมนต์ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิ เฉลี่ยหนึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วก็ไปทำภารกิจส่วนตัว รอเปิดห้องขังเวลา 08.00-08.30 น. จากนั้นต้องรีบไปตลาดในเรือนจำ เพื่อแย่งซื้อเต้าหู้กับเห็ดนางฟ้า เพราะของมีน้อย ไปสายอาจหมด เพราะส่วนตัวกินมังสวิรัติ โดยกินอาหารวันละสองมื้ออย่างเดียวกับเด็กที่อยู่ด้วย
เมื่อกลับมาถึงเวลาประมาณ 09.30 น. ไปพบหมอที่ห้องพยาบาลในเรือนจำ ซึ่งทำประจำทุกวัน เพื่อไปวัดว่ามีความดัน เป็นอะไรหรือไม่ คือ ต้องการให้เดินออกกำลังกายไปที่นั่น แต่จะมีผู้คุม คือ “นูน กิม ฮง” คอยติดตามตลอดตั้งแต่วันแรกจนปล่อย เพื่อดูแลไม่ให้ใครมาใกล้ มาคุย กระทั่งมาทำร้าย (หัวเราะ)
หลังตรวจสุขภาพเสร็จก็กลับมาทำกับข้าว เสร็จประมาณ 10.00 น. และเวลา 10.30 น. ปิดห้องขัง เพื่อให้กินข้าวแล้วก็พัก เปิดอีกทีเวลา 14.00 น. มีเวลาพักสองชั่วโมง ก็จะใช้เวลานี้ออกกำลังกาย เดินแกว่งแขน ซิตอัพ จากนั้นเวลา 16.00 น. ปิดห้องขังอีกรอบ ก็นั่งรอเหงื่อแห้งแล้วอาบน้ำ กินข้าวเวลา 18.00 น. เดินย่อย ก่อนไปล้างหน้าสวดมนต์ ทำวัตรเย็น ไปถึงสามสี่ทุ่มแล้วแต่วัน เพราะไม่มีอะไรทำและต้องนอนเร็ว
ในช่วงแรกๆ วีระบอกถึงความรู้สึกว่า ได้ยินเสียงผู้คุมลั่นกุญแจเหมือนมีดเสียดแทงหัวใจ ความสว่างก็ดับวูบ เพราะหมายถึงต้องอยู่ในห้องขังจนเวลา 08.00 น. ของอีกวัน แล้วห้องที่อยู่ยาว 4 เมตร กว้าง 1.70 เมตร อยู่กันสองคน ถือว่าเล็กมาก และที่อยู่กันสองคน เพราะเรือนจำส่งนักโทษให้มาคอยคุม เพราะผู้คุมไม่สามารถอยู่ด้วยได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ นักโทษคนที่อยู่ด้วยมีหน้าที่ไปรายงานผู้คุมว่าวันๆ ทำอะไรบ้าง ดังนั้นนักโทษที่มาอยู่ด้วยส่วนใหญ่ไม่มีความผิดร้ายแรง ติดคุกแค่ปีสองปีออก แถมน่าสงสาร และประพฤติดีมาก ส่วนตัวก็ขอสเปกถ้าจะเอานักโทษมาอยู่ด้วย คือ 1.ไม่สูบบุหรี่ 2.เคารพ ไม่ใช่เอาใครมาเดี๋ยวได้ฆ่ากัน (ยิ้มๆ)
“สรุป 3 ปี 6 เดือน มีนักโทษอยู่ด้วย 3 คน คนแรกพ้นโทษ คนที่สองอยู่ได้ไม่นานเพราะทนไม่ไหวต้องกินมังสวิรัติ (หัวเราะ) จากนั้นหาเด็กใหม่ ผมเลือกเอง เพราะที่ผ่านมามีคนกัมพูชาอยู่ด้วยสองคนแล้ว อยากได้คนพอพูดภาษาไทยได้บ้าง แต่เรือนจำไม่ให้เลือกคนไทย นอกนั้นได้หมด แต่ถ้าเป็นฝรั่งทางเรือนจำต้องขอไปพิจารณาก่อน”
อย่างไรก็ตาม บังเอิญฝรั่งไม่สนิทกับใคร และอีกอย่างคน ละวัฒนธรรม เลยเลือกเอาคนวัฒนธรรมใกล้เคียงแม้ไม่ใช่คน ไทย เลยเอาคนลาว เพราะภาษาพอพูดกันได้ และบังเอิญมี เด็กลาวมาติดคุกใหม่ ไม่มีญาติ และน่าสงสาร เลยเลือกเด็ก คนนี้ ที่สำคัญไม่สูบบุหรี่ อยู่ยาวจนออก และห้องขังที่อยู่เป็น แบบวีไอพี มีเสื่อ หมอน ผ้าห่ม ซึ่งทางเรือนจำจัดให้ และอยู่ ห้องนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าจนออก แต่ผ้าไม่เคยใช้ห่ม เอามาปูรองนอน เพราะห้องมันเล็กไม่มีหน้าต่าง แถมร้อนมาก ห้องที่อยู่เป็นอาคารสองชั้น อยู่ห้องหมายเลข 15 ซึ่งแต่ละตึกจะมีเพียง 4 ห้องเล็กเท่านั้น
“ห้องนี้ไม่ใช่ใครก็อยู่ได้ ต้องเสียเงินและแพงมาก และนักโทษทุกคนต้องเสียค่าน้ำ-ไฟเองเหมือนเช่าคอนโด ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีสิทธิใช้ไฟและน้ำ ซึ่งก็เคยมีมาเก็บ แต่ไม่จ่าย และบอกตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปว่าหากอยากเก็บเงินให้ไปเก็บกับนายฮุนเซน เพราะเอามาอยู่ที่นี่ แต่นั่นก็ไม่มีใครกล้ามาอีก”
นอกจากจะอยู่กันสองคนแล้ว ห้องนี้ยังกลายเป็นสวนสัตว์ให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นในเรือนจำด้วย เพราะถือศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ฉีดยาฆ่าแมลง ไม่ตบ ไม่ตี พวกนี้ก็หนีจากห้องอื่นและมาอยู่ห้องนี้แบบปลอดภัย โดยเฉพาะตุ๊กแกมีเยอะมาก ตามด้วยจิ้งจก แมลงสาบ หนู มด ยุง ตัวเลือด ตัวไร ในห้องน้ำก็มีพยาธิเส้นด้าย คือต้องใส่รองเท้าเข้าห้องน้ำ
ส่วนวิธีแก้คือนอนในมุ้ง ค่ำมากินข้าวเสร็จ สวดมนต์อยู่ในมุ้งไม่ออกมา (หัวเราะ) แผ่เมตตา มีแค่ยุงกัดมดกัดบ้าง แต่ไม่เคยมีแมลงสาบ หนู มาแทะหัวหรือเท้า แต่ตอนหลังหนูหายหมดเพราะเริ่มมีแมว ซึ่งไม่รู้ใครเอามาเลี้ยงแล้วออกลูกออกหลาน
วีระยังได้เล่าประสบการณ์สุดระทึก คือ เห็นนักโทษกิน แมวย่าง นอกจากนี้ก็มีหนู ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะของนักโทษจนๆ เพราะต้องเข้าใจว่าอะไรที่กินได้ตั้งแต่จิ้งจก ตุ๊กแก นักโทษจนๆ จับกินหมด กระทั่งงูก็ไม่มี เพราะก็เป็นอาหารอันโอชะเหมือนกัน หมาไม่ต้องพูดถึงหลงเข้ามาเรียบหมด
สำหรับวิธีการกินแมวของนักโทษ วีระอธิบายว่า จะจับแมวมาแล้วกระตุกหางแรงๆ เพราะเป็นจุดอ่อนโดนแล้วเป็นอัมพาตทันที ก่อนจับเชือดคอถลกหนัง หนูก็เช่นกันทุบหัวแล้วจับถลกหนังเนื้อขาวจั๊วะ คือ เห็นกรรมวิธีทำทั้งหมด นักโทษบางคนเอาหนูที่จับมาได้จำนวนมากๆ หิ้วแบบเป็นพวงขายให้นักโทษที่ไม่ได้ออกมาจากห้องขัง ตัวหนึ่ง 25-30 บาท ตามขนาด
ขณะที่เรื่องของความสะอาดนั้น วีระบอกว่า เรือนจำที่นี่ถือว่าสกปรกสุดๆ กระทั่งน้ำ เพิ่งมีน้ำสะอาดใช้เมื่อต้นปีมานี้ ซึ่ง 3 ปีเต็มๆ ต้องทนใช้น้ำสกปรกที่ถูกสูบมาจากสระน้ำรวม แล้วสระนี้มีทั้งอุจจาระ ปัสสาวะ เพราะเรือนจำไม่มีบ่อพัก ทำธุระอะไรลงท่อต่อตรงไหลไปลงสระ เนื่องจากมีนักโทษเป็นพันคน หากทำส้วมซึม ไม่กี่วันก็ต้องดูดออก
“ความสกปรกมันเชื่อมโยงกัน เวลาจะใช้น้ำก็ไปสูบตรง บ่อมาใช้ทั้งกินทั้งอาบ ผมเคยเผลอไปครั้งหนึ่ง ช่วงแรกๆ ไม่มีไฟ หาน้ำสะอาดไม่ได้ แต่เรือนจำมีเตรียมไว้ให้ ควักขันตักกินท่ามกลางความมืด ตื่นเช้ามาเห็น คิดในใจ ตายห่า กูกินน้ำนี้เข้าไปได้ยังไง อาบก็คันทันที” วีระ กล่าวก่อนหัวเราะ
วีระบอกว่า จากนั้นเลยยอมเสียเงินซื้อน้ำไว้ใช้ทั้งอาบและกินรวมถึงซักผ้า โดยจะซื้อผ่านนักโทษ เพราะเรือนจำจะจ้างให้นักโทษขาย โดยมีผู้คุมเป็นนายทุน โดยคิดต่อถัง 1,000 เรียล ประมาณ 10 บาท จะใช้กี่ถังก็สั่งไป แต่ส่วนตัวซื้อได้วันละ 4 ถังเท่านั้น จำเป็นต้องใช้อย่างประหยัด ส่วนการทำกับข้าว ก็ลงมือในห้องขัง ซึ่งเรือนจำจะมีแก๊สสนามสำหรับเดินป่ามาให้ใช้ ซึ่งห้องข้างเคียงกันได้เคยเกิดระเบิด เพราะสภาพกระป๋องแก๊สเก่ามาก ทุกวันต้องไปซื้อแก๊สที่ตลาดกระป๋องละ 15 บาท และการทำงานในเรือนจำ ถ้าเป็นคนต่างชาติไม่ต้องทำ แต่ก็ไม่มีสิทธิเรียนหนังสือ อาทิ ภาษา ให้เพียงคนกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งตลอด 3 ปี ใช้ชีวิตจำเจ จนรู้ว่านาทีนี้ต้องทำอะไร
สำหรับการคุกคามในคุกนั้น วีระบอกว่า ช่วงแรกก็หวั่นเกรง เพราะตอนนั้นรู้กันอยู่ว่าเรื่องดินแดนแรงมาก ก็หวั่นๆ แต่พอไปอยู่มันไม่มีอะไร มีตึงๆ กันบ้างใหม่ๆ แต่อยู่สักพักนักโทษกัมพูชาซึ่งคอยทำหน้าที่เป็นล่ามให้ เพราะเคยอยู่ไทยมา 10 ปี เขาจะเรียก “ป๊ะ” แปลว่า “พ่อ” ก็บอกว่าไม่มีอะไร ไม่เห็นดุเหมือนที่เคยเห็นในทีวี
“เพราะภาพผมทะเลาะกับผู้พิพากษากัมพูชาออกในทีวี เคยทะเลาะกับตำรวจตบโต๊ะตั้งแต่วันแรกเพราะพยายามยัดข้อหาว่าเราเข้าประเทศกัมพูชา เถียงไปเถียงมา ก็ขึ้นเสียงกันมีมึงกู ภาพมันก็เลยออกมาแบบนี้ แล้วสื่อที่ติดตามก็นำเสนอ คือไม่ยอมอย่างเดียว จะบอกเป็นพื้นที่กัมพูชา เราไม่ยอม ให้เราเซ็นรับทราบ ก็บอกไปสู้กันที่ศาล อยู่ที่ประเทศนั้นก็ด่าฮุนเซน |ไม่กลัว ภาพแรง ใครๆ ก็กลัวว่าอยู่นี่มีเรื่องกันแน่ แต่เข้าไปจริงๆ เข้าใจ”
หลังได้มานั่งทบทวนตัวเอง ที่ผ่านมาใช้อารมณ์เกินไป ด้วยความเครียด รู้สึกกดดัน รัฐบาลก็ไม่ช่วย แถมแกล้งให้ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา และเริ่มเข้าใจว่าไม่มีอะไร ไม่มองใครเป็นศัตรู เพราะศัตรูจริงๆ มีไม่กี่คน นอกนั้นเพื่อนมนุษย์ ใครเดือดร้อนอะไรก็มา เช่น ขอยา คนไหนจนก็มาขอเงิน บางคนเดินสูบบุหรี่มาแบบกวนๆ แล้วขอเงิน ก็บอกไปว่าถ้าเอ็งสูบ ลุงไม่ให้เงิน เลิกก่อนถึงให้ มีข้อแลกเปลี่ยน พอทิ้งก็ให้จริงๆ ไม่พูดเล่น ส่วนใหญ่ก็สอนว่าบุหรี่ไม่ดี ก็ถามบุหรี่ซองเท่าไหร่ บอกซองละ 35 บาท ถ้าเอาเงินซื้อบุหรี่มาซื้อมาม่าได้กี่ซอง เพราะมาม่าที่นั่นซองละ 7 บาท บุหรี่ซองนึงซื้อมาม่าได้หลายมื้อ ลุงให้เงินเอ็งจากซื้อบุหรี่เปลี่ยนเป็นมาม่าอิ่มนะ มีประโยชน์ ก็รู้สึกว่าคนนี้มีน้ำใจไม่ใช่ให้เงิน แต่มีน้ำใจให้เขาสุขภาพดี ก็คงเป็นปากต่อปาก
เสนอ3เงื่อนไขพ้นเปรย์ซอว์
ตามข้อตกลงในการถูกคุมขัง 2 ใน 3 ได้รับอภัยโทษ และ 1 ใน 3 ถึงจะโอนตัวได้ วีระบอกว่า ทั้งหมดเป็นข้ออ้าง การปล่อยตัวครั้งนี้ถือว่าไม่คาดฝัน เร็วมาก หลังจากก่อนหน้านี้พยายามมาโดยตลอด แต่ทางกัมพูชาจะอ้างต้องเคารพกฎหมายกัมพูชา ไม่มีใครเหนือกฎหมาย แต่ประเทศนี้กฎหมายคือฮุนเซนคนเดียว
ทั้งนี้ ไม่เคยคิดเรื่องซื้ออิสรภาพ แต่มีความพยายามถึง 3 ครั้งในการเจรจาช่วยเหลือ ทั้งคนนอกและคนในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยคนนอกเสนอตัวเป็นนายทุนพาออกจากเรือนจำซึ่งก็ได้ปฏิเสธไป ขณะที่คนในรัฐบาลชุดที่ผ่านมาอีก 2 ครั้ง เสนอเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.หยุดวิจารณ์ฮุนเซน 2.ยอมรับผิด และ 3.หยุดแตะต้องระบอบทักษิณ
“ข้อแรกผมพอรับได้ที่จะไม่วิจารณ์ แต่ข้อเสนอที่เหลือ ผมรับไม่ได้ หากรับไป ถามว่าเมื่อกลับประเทศผมต้องไป ตอบแทนบุญคุณพวกมันเท่าไหร่ เรื่องอะไรต้องเป็นหนี้บุญคุณ ผมทำหน้าที่ปราบคอร์รัปชั่น แล้วทำไมผมต้องเอาเงินซื้อ และที่สำคัญมันส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมาก ผมทำไม่ได้”
อย่างไรก็ตาม การเมืองก็เป็นแบบนี้ มีแต่เรื่องผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจทางการเมือง นี่คือสัจธรรม ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่กับฮุนเซน ส่วนตัวให้อภัยหมด และคนให้ร้ายที่ผ่านมา ทุกอย่างจบ ถือว่าเป็นเวรกรรมเก่า ตอนนี้ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ลูกผู้ชายพอ เหมือนเชลยศึก เมื่อเข้าสนามรบและพลาดท่าถูกล้อมจับเป็นเชลย ไม่มีปัญหา ก็แฟร์ๆ กันไป
ฮีโร่ในคุก
วีระ เล่าว่า ช่วงติดคุก 6 เดือนแรกนั้น มีการลงโทษนักโทษ ด้วยวิธีการทารุณ ซึ่งผู้คุมคนนี้ เพิ่งย้ายมาใหม่มีประวัติโหดร้าย และใครที่ออกจากห้องขังได้ ต้องทำงาน มีเงิน ยกเว้นออกไปห้องพยาบาล แต่ต้องมีรายชื่อป่วยจริง และจะมีนักโทษชั้นดีเดินคุมตามไปแล้วกลับเข้าห้องทันทีห้ามเตร่ที่ไหนต่อ หรือนักโทษจนๆ คอยรับจ้างซักผ้าให้คนทั้งห้องมีสิทธิออกไปข้างนอกได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ถ้าคนอื่นต้องจ่าย ส่วนตัวได้รับการยกเว้น
ครั้งหนึ่ง มีนักโทษจนๆ 3 คน แอบหนีออกนอกห้องขังผ่านช่องตรงประตูไว้สำหรับส่งอาหาร เพื่อต้องการออกมาเดินเล่น แต่เจ้าหน้าที่จับได้ ก็เอาไปนั่งมือไขว้หลัง โดนตีสลบเลือดเต็ม คิดในใจโหดฉิบหาย จึงเดินไปต่อว่าผู้คุม ให้หยุด ซึ่งได้ผล เขาไม่กล้ากับผม เพราะตอนติดคุกสิบวันแรก กาชาดสากลพา ผมไปขึ้นทะเบียน ซึ่งหมายถึงหากเป็นอะไรตายในเรือนจำ อย่างไร้สาเหตุไม่ได้ ป้องกันไม่มีใครกล้ามาทำอะไร และเรือนจำที่นี่ได้ทำข้อตกลงกับกาชาดว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสากล เรื่องสิทธิมนุษยชน ดังนั้น การทำร้ายนักโทษด้วยวิธีโหดร้ายป่าเถื่อนไม่ได้
เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีการรายงานไปยังผู้บัญชาการเรือนจำ แล้วเรื่องไปถึงมหาดไทย ผู้คุมคนนั้นถูกย้ายด่วน ลดชั้น ส่วนอีก 2-3 คน โดนไล่ออก หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนมีคำสั่งไปยังเรือนจำทั่วประเทศ ห้ามทำร้ายนักโทษด้วยวิธีป่าเถื่อนอีก กลายเป็นผลงานในเรือนจำ วีระ ดังเลย (หัวเราะ) นักโทษประทับใจมาก ที่ทำทั้งหมดไม่ใช้ประโยชน์ตัวเองแต่มันคนทั้งเรือนจำ เหมือนเรื่องทุจริตก็เพื่อคนไทยทั้งประเทศ
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นมาผู้คุมให้การเคารพ เคยมีครั้งหนึ่ง เดินผ่านผู้คุมกำลังนั่งไขว่ห้างคุยกัน เขารีบทำความเคารพ ซึ่งจริงๆนักโทษต้องทำแบบนี้กับผู้คุม ที่นั่นมีกฏว่าจะคุยกับผู้คุมต้องห่างอย่างน้อย 5 เมตร และ “จุงกุง” คือ คุกเข่า ส่วนตัวไม่ต้องทำ เดินไปไหนผู้คุมเคารพ เกรงใจ และไม่มีผู้คุมคนไหนกล้ามาไถ
“ผมเคยพูดกับผบ.เรือนจำคนก่อน ผมมาอยู่นี่ไม่ใช่ฐานะอาชญากร และเรื่องของผมเป็นเรื่องที่ผมมีปัญหากับผู้นำคุณ เป็นเรื่องการเมือง ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำพิพากษา ซึ่งผมไม่ยอมรับ หากปล่อยให้ผู้คุมมาเหยียดหยาม ผมไม่ยอม พูดกับเขาตั้งแต่วันแรก”
สำหรับการเยี่ยมนั้นทางสถานทูตไทยตกลงกับครอบครัวให้ได้อาทิตย์ละครั้ง และเลือกให้เป็นวันศุกร์เนื่องจากไม่มีงาน เพราะการไปเยี่ยมทุกครั้งสถานทูตต้องไปคุม ไม่ให้คุยกันเอง แล้วมีห้องแบบส่วนตัวให้ แต่ถ้านักโทษคนอื่นยากใช้ก็มีสิทธิ แต่ต้องซื้อคูปองตามเลตราคาได้คุยกันได้กี่นาที ส่วนตัวได้พบครอบครัวแค่ 20 นาที ถ้านักโทษจนๆก็คุยกับญาติผ่านโทรศัพท์มีกระจกกั้น
การไปเยี่ยมแต่ละครั้งภรรยาจะทิ้งเงินไว้ ให้อาทิตย์ละ 50 ดอลล่าร์ แต่จะแบ่งให้คนที่ดูแลอาทิตย์ละ 5 ดอลล่าร์ ซึ่งเรือนจำมีกฏห้ามนักโทษถือเงินเข้าเรือนจำเกินครั้งละ 5 ดอลล่าร์ ถ้าผู้คุมค้นเจอ ส่วนที่เหลือทั้งหมดจะถูกยึด จำเป็นต้องให้จ้างผู้คุมถือเงินให้ไปส่งถึงห้อง ครั้งละ 5 ดอลล่าร์ ส่วนภาษาก็ได้มานิดหน่อย เพราะไม่มีโอกาสเรียนจริงจัง โดยเฉพาะภาษาเขมร แต่ตอนนี้รู้ว่าด่าอะไรหรือสื่ออะไร ฟังได้ และก็ด่ากลับเป็นแล้ว
รีเทิร์นลุยตรวจสอบทุจริต
บทบาทหน้าที่ของวีระไม่ได้เริ่มต้นจากการตรวจสอบข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่เขาทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นภาคประชาชนมานานหลายสิบปีแล้ว หากย้อนกลับไปช่วงเหตุการณ์รัฐบาลชวน หลีกภัย วีระในฐานะประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพประชาชนขณะนั้น รับไม้ต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบบัญชีหนี้สินปริศนา 45 ล้านบาท จนในที่สุด พล.ต.สนั่น ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
เหตุที่ทำให้เขาสามารถตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นบรรดานักการเมืองชนิดรู้ลึกตื้นหนาบาง เพราะมีความสนิทคุ้นเคยกับ|นักการเมืองหลายต่อหลายคนเป็นอย่างดี ต่างเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่วีระกลับเลือกเส้นทางตรวจสอบมากกว่าเลือกเข้าไปสู่อำนาจการเมือง
“วัฒนา เมืองสุข เพื่อนผม หมอเหวง โตจิราการ อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เรียนห้องเดียวกัน เนวิน ชิดชอบ ก็เรียนห้องข้างๆ” วีระเล่าถึงพรรคพวกศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ณ วันนี้ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่บนทางเลือกของตัวเอง
“นักศึกษาหัวก้าวหน้ารุ่นเดียวกับผม อย่างคุณหมอเหวง อาจารย์สมศักดิ์ เมื่อเข้าป่ามีความคิดลักษณะอุดมการณ์ ซ้ายจัดโชคดีที่ผมเข้าธรรมะ จึงไม่ฝังหัวในบางเรื่องเหมือนกับพวกเขา” วีระเล่าถึงการได้เป็นลูกศิษย์พระธรรมโกศาจารย์ หรือท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งเป็นอาจารย์องค์แรกหลังวีระออกจากป่า
นอกจากได้ศึกษาธรรมะกับท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านแนะนำให้ไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ต่อมาหลวงพ่อชาป่วยมากท่านแนะนำให้ไปอยู่กับพระอาจารย์กัณหา สุขกาโม และท่านโพธิรักษ์ ซึ่งเป็นหลานชายแท้ๆ ของหลวงพ่อชา
ด้วยเหตุนี้ เมื่อวีระได้รับอิสรภาพ ภารกิจแรกจึงได้เดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ตั้งแต่วันแรก ได้ไปกราบสมณะโพธิรักษ์ จากนั้นมีกำหนดการวันอังคารที่ 8 ก.ค. จะเดินทางไปวัดป่าทรัพย์ทวี อ.วังน้ำเขียว เพื่อไปกราบพระอาจารย์กัณหา สุขกาโม
ภารกิจต่อไปเดินหน้าตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นตามเดิม โดยที่เขามีองค์กรอยู่แล้วในฐานะเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น ซึ่งมีประชาชนส่งข้อมูลการทุจริตมาให้โดยตลอด รวมถึงได้ขุดคุ้ยด้วยตัวเอง เจ้าตัวบอกด้วยว่าเมื่อบ้านเมืองกำลังมีการปฏิรูป และประเด็นการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นหนึ่งในการปฏิรูป พร้อมยินดีให้การสนับสนุน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีการประสานมา
ถามว่าการตรวจสอบพื้นที่พิพาททับซ้อนไทย-กัมพูชา 4.6 ตารางกิโลเมตร จะดำเนินการต่อไปหรือไม่ วีระ ยืนยันว่าทำแน่ และคงต้องทำอย่างรอบคอบ “ถ้าคราวต่อไปถูกจับอีก เขาคงไม่ปล่อยแน่ ผมตายแน่” วีระกล่าวพร้อมหัวเราะ
ชนวนข้อพิพาททำให้เขารู้จักฮุนเซนมากขึ้น “ฮุนเซนมันเล่นผมแสบ” “กล่าวหาว่าผมเป็นสปาย หนังสือพิมพ์ต่างประเทศขึ้นพาดหัวกันหมดว่า วีระเป็นสายลับของไทย ผมขอถามว่า ผมทำงานให้ใคร ใครเป็นผู้บังคับบัญชาจะได้ไปตามเก็บเงินสักหน่อย ผมทำงานในฐานะประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น”
หากย้อนติดตามวีรกรรมของวีระกับกัมพูชาแตกต่างจากรายอื่นที่มีการเจรจาต่อรองยอมปล่อยตัว โดยไม่ได้ยึดหลักข้อกฎหมายใดมากล่าวอ้างเหมือนวีระที่ต้องคิดคุกจำนวนเท่านั้นเท่านี้ปี อย่างเช่น กรณีตำรวจกัมพูชาจับกุมวิศวกรชาวไทยที่ลอบนำบันทึกเส้นทางการบิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ ปรากฏว่ามีความพยายามจากบุคคลสำคัญทางการเมืองเจรจากับฮุนเซน จนได้รับการปล่อยตัว หรือกรณี พนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ซึ่งร่วมคณะกับวีระไปสำรวจพื้นที่ทับซ้อน ก็ได้รับการช่วยเหลือในเวลาไม่นานนัก ขณะที่วีระกลับถูกพิพากษาให้จำคุกยาวนานกว่า 3 ปี
“ครั้งแรกผมลงพื้นที่ไปกับนายก อบต.เจ้าของที่ดินทำบันทึกข้อตกลงกับทางกัมพูชาดำเนินคดีไม่ได้ แต่ครั้งที่สองไปกับพนิช ผมคิดว่ามีข้อตกลงไว้แล้วเขาคงปล่อย แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่กัมพูชาเอาตัวผมไปเฉยเลย”
อย่างไรก็ตาม หลังได้รับอิสรภาพ วีระ กล่าวถึงฮุนเซนว่า
“ผมให้อภัยหมดแล้ว บุคคลที่ให้ร้ายผมให้อภัยหมด ที่ผ่านมาถือว่าจบให้เป็นเวรเป็นกรรมไป เราลูกผู้ชายเหมือนเชลยศึกเหมือนเข้าสู่สนามรบ เมื่อแพ้มันล้อมจับเราได้ ติดคุกไม่มีปัญหา เรารบในสนามรบกลัวอะไร แต่ต่อไปถ้าเป็นเรื่องใหม่ยังเล่นกับประเทศเราไม่จบ ก็ต้องเจอกันอีก”
ส่วนคนในรัฐบาลไทยที่มีส่วนทำให้เสียผลประโยชน์ชาติ วีระ บอกว่า ไม่ได้คิดจ้องอาฆาตแค้นเพราะไม่มีประโยชน์ แต่เรื่องอะไรที่เป็นคดีความกันอยู่ก่อนเป็นอาญาแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด ให้อภัยไม่ได้เรื่องพวกนี้ผมต้องรื้อว่ากันต่อไป
ระหว่างนี้วีระจะรอดูฝีมือการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐก่อน กรณีข้อพิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประเมินแล้วคงตกลงไม่ได้
“ใครก็ตกลงไม่ได้ ถ้ารัฐบาลไหนยอมอีกก็เสียหายคอยดูแล้วกัน ผมเคยพูดกับท่านทูต ท่านถามผมในฐานะส่วนตัว ถามตรงๆ คุณยังคิดจะมายุ่งวุ่นวายชายแดนอีกไหม ผมตอบท่านทูตไปว่า การรักษาอธิปไตยหน้าที่ใคร มันเป็นหน้าที่คุณ หน้าที่ของทหาร|นั่นแหละ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้การรักษาอธิปไตยเป็นหน้าที่ทหาร ถ้าคุณทำหน้าที่ดี ประชาชนเขาไม่ไปยุ่ง ถ้าทหารเข้มแข็งผมไม่ไปยุ่ง แต่เมื่อคุณไม่ทำสิ ผมเป็นประชาชนเจ้าของประเทศจะปล่อยให้สูญเสียแผ่นดินไม่ได้”
“ถ้าถามผมจะไปยุ่งอีกไหม ตอนนี้ผมตอบไม่ได้ ต้องนั่งดูผลงานพวกคุณก่อน ถ้ารักษาอธิปไตยได้จะไปยุ่งทำไม แต่ถ้าพวกมันเดินถือปืน นำอาวุธบุกเข้ามาไล่คนไทยออกไป ฝ่ายเราไม่ทำอะไรเลย ก็ทนไม่ได้หรอกครับ”
ไม่ว่าจะออกมาต่อสู้เรียกร้องปกป้องอธิปไตยชาติกันอย่างไร ถูกจับโดนยัดข้อหาว่าเป็นสายลับบ้าง กลายเป็นคู่กรณีแถวหน้าชนิดที่ฮุนเซนต้องขึ้นบัญชีบ้าง กระทั่งรัฐบาลที่ผ่านมามีความพยายามส่งคนมาเจรจาต่อรองเสนอเงื่อนไขการปล่อยตัว วีระได้สรุปบทเรียนจากนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง
“บทสรุปเรื่องนี้ การเมืองเป็นอย่างนี้ เป็นแต่เรื่องผลประโยชน์ของพวกเขา บางคน บางพรรค ไม่ใช่ประโยชน์ของคนทั้งประเทศหรือของคนกัมพูชา เป็นผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน” เชลยศึก “วีระ” กล่าวทิ้งท้าย


