กงล้อประวัติศาสตร์ (2)
หลังจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 ก.พ. 2501
หลังจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 ก.พ. 2501 ในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ 10 ก.พ. ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีดังต่อไปนี้
1.พล.อ.ถนอม กิตติขจร เป็นรองนายกรัฐมนตรี
2.พล.ต.พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
3.พล.อ.ถนอม กิตติขจร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
4.นายโชติ คุณะเกษม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
5.นายถนัด คอมันตร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
6.นายสวัสดิ์ มหาผล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
7.พล.ต.พงษ์ ปุณณกันต์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
8.พล.ท.ประภาส จารุเสถียร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
9.พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
10.ม.ล.ปิ่น มาลากุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
11.นายสุนทร หงส์ลดารมภ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ
12.พระประกาศสหกรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสหกรณ์
13.พระบำราศนราดูร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
14.นายบุณย์ เจริญไชย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
หลังจากตั้งรัฐบาลแล้ว จอมพลสฤษดิ์ก็เริ่มการบริหารประเทศ ปราบปรามผู้ที่มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ หรือผู้มีพฤติกรรมบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ จัดการกับผู้ก่อวินาศกรรมในการวางเพลิงอย่างเด็ดขาด ปราบปรามอันธพาลและสถานที่ซ่องสุมต่างๆ ควบคุมสถานบริการที่มีพฤติกรรมขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ยกเลิกการจำหน่ายฝิ่นและเสพฝิ่น จัดระเบียบบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ในที่สาธารณะ และเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ และอื่นๆ อีกมากที่สำคัญที่สุด คือ จอมพลสฤษดิ์ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นอันมาก ได้มอบหมายให้ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ ประธานที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจตั้งคณะที่ปรึกษาขึ้นมาคณะหนึ่งประกอบด้วย ม.ล.เดช สนิทวงศ์ นายโชติ คุณะเกษม พล.อ.ท.มุนี มหาสันทนะ เวชยันตรังสฤษฏ์ นายเล้ง ศรีสมวงศ์ นายถนัด คอมันตร์ นายทวี บุณยเกตุ นายเกษม ศรีพยัคฆ์ และ พ.อ.เฉลิมชัย จารุวัสตร์ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้ ได้พิจารณาโครงการเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจไว้ 3 วาระ คือ
1.เป็นการแก้ไขเศรษฐกิจเฉพาะหน้าและเฉพาะเรื่อง
2.เป็นโครงการเศรษฐกิจระยะสั้นที่วางไว้ 15 ปี
3.เป็นโครงการเศรษฐกิจระยะยาวคือ 5 ปีขึ้นไป
สำหรับหลักการบริหารที่จะนำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ชาติบ้านเมืองนั้น จอมพลสฤษดิ์เชื่อว่า “ความเฉียบขาดเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องจรรโลงประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง” ซึ่งมักจะย้ำอยู่เสมอว่า “การใดจะผิดถูกหรือไม่ ข้าพเจ้ารับผิดแต่ผู้เดียว”
นอกจากการเป็นผู้นำที่เฉียบขาดแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังเป็นผู้ที่มีลักษณะพิเศษในการปฏิบัติราชการ คือ มีความรอบคอบ ให้เกียรติผู้ที่เข้ามาร่วมงาน ให้อำนาจความไว้วางใจและความเป็นอิสระในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปดำเนินงานต่างๆ อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ให้ความเอาใจใส่คอยเฝ้าติดตามและสนับสนุนให้การทำงานของทุกฝ่ายดำเนินไปด้วยดี เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติบ้านเมือง ดำรงตนเป็นผู้นำที่เข้าถึงง่าย พร้อมที่จะพบและรับฟังความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย โดยไม่ถือตนว่าเป็นผู้มีอำนาจ มีหน้าที่รับฟังความเห็นจากการเสนอแนะของผู้ปฏิบัติงานแล้วตัดสินใจจากรายงานที่แต่ละฝ่ายเสนอแนะให้ตัดสินใจ โดยไม่จำเป็นต้องพบปะพูดกับผู้ใด ต้องการฟังเพียงข้อเสนอแนะเพื่อประกอบการตัดสินใจของตนเองแต่ผู้เดียวเท่านั้น
การบริหารงานของจอมพลสฤษดิ์ ยังมีลักษณะเข้าถึงลูกถึงคน ดังที่เกษม จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและอดีตผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้เล่าถึงการทำงานกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุคบุกเบิกก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่บางกรวย ขณะนั้นเกษม จาติกวณิช อายุเพียง 32 ปี ว่า ตนเองเป็นผู้ที่มีอาวุโสน้อยที่สุดในการประชุมพลังงานแห่งชาติ นั่งอยู่ปลายโต๊ะคนละมุมกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยินเสียงทักของจอมพลสฤษดิ์ดังก้องห้องว่า ... “เอ๊ะ คนนั้นทำอะไรน่ะ” คนที่ถูกทักก็ตอบเสียงสั่นๆ ว่า “ผมชื่อเกษมครับ ผมเป็นนายช่างกำลังเร่งสร้างโรงไฟฟ้าบางกรวยอยู่ เพราะไฟดับมากผลิตได้ไม่พอใช้ครับ”
“อ้อ แล้วมีปัญหาอะไรไหม” จอมพลสฤษดิ์ถามต่อ เกษมตอบว่า “มีครับ คือเรามีเครื่องมือที่ต้องติดตั้งหนักขนาด 100 ตัน แต่เครนที่มีอยู่เวลานี้ใช้ยกได้เพียง 35 ตันเท่านั้นครับ”
จอมพลสฤษดิ์ บอกทันทีว่า “เอาล่ะ แล้วจะหามาให้ใหม่ รีบทำเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเดือดร้อน” หลังจากที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางกรวยได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้นำแล้ว จอมพลสฤษดิ์ก็ย้ำกับเกษม ว่า “คุณเกษมช่วยเร่งให้ทันงานเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมนี้จะได้ไหม” เกษมก็รับคำว่า “พอมีหวังครับท่าน ผมจะพยายามเร่งให้เสร็จ” จากนั้นเกษมและทีมงานก็เร่งทำงานทั้งวันทั้งคืน มีเวลาหยุดแค่วันอาทิตย์ตอนกลางคืนเท่านั้น ในระหว่างที่เร่งทำงานกันอยู่นั้น บ่ายวันอาทิตย์หนึ่ง จอมพลสฤษดิ์ก็ขับรถไปตรวจการทำงานการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางกรวยที่เมืองนนท์ แต่พอไปถึงปรากฏว่าทหารยามไม่ยอมให้ผ่านเข้าไป เพราะไม่รู้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์จึงส่งคนไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบระดับสูงจึงผ่านเข้าไปได้ และด้วยความช่างสังเกตของจอมพลสฤษดิ์นี้เอง ที่ทำให้เกษมมีเรื่องตื่นเต้นเล่าต่อไปว่า
... แล้วในการประชุมถัดมา ท่านจอมพลสฤษดิ์ก็เปล่งเสียงดังข้ามมุมโต๊ะพูดกับเกษมว่า
“เออ...สร้างได้เร็วดี ว่าแต่ว่าไอ้ตึกสูงๆ 10 ชั้นที่เสร็จแล้วนั่นน่ะ ทำไมมีพระไปอยู่บนนั้นด้วยล่ะ” พอโดนถามเข้าเกษมซึ่งยังไม่รู้เรื่องก็ต้องรีบไปสืบเสาะหาความจริงจึงได้ความว่า วันที่จอมพลสฤษดิ์ไปตรวจงานการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางกรวย บังเอิญมีพระรูปหนึ่งผ่านมาก็แปลกใจที่เห็นตึกสูงใหญ่โตมาผุดขึ้นกลางทุ่ง เลยปีนขึ้นไปรับวิวสำรวจเล่น เป็นเหตุให้จีวรเหลืองอร่ามปลิวไสวไปสะดุดสายตาท่านจอมพลสฤษดิ์ ท่านเลยสงสัย
เกษม บอกว่า จอมพลสฤษดิ์ดูจะพึงพอใจกับประโยชน์ที่ได้รับจากโรงไฟฟ้าบางกรวยนี้มาก จึงมีความเอาใจใส่ต่อความเป็นไปของไฟฟ้าอยู่เสมอ เช่น วันหนึ่งขณะที่เกษมและเพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันกำลังทดลองเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้วไฟเกิดดับทั่วกรุงเทพฯ จอมพลสฤษดิ์ก็โทรศัพท์เข้าไปถามทันทีว่า “เกษม ทำไมไฟมันดับล่ะ ผมกำลังยิงเป้านักโทษอยู่นะ” แต่เมื่อเกษมชี้แจงไปว่าเป็นเหตุสุดวิสัย จอมพลสฤษดิ์ก็เพียงบอกว่าให้รีบแก้ไขโดยเร็ว
โครงการสร้างโรงไฟฟ้าบางกรวยสำเร็จด้วยฝีมือนายช่างหนุ่มวิศวะจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง มีเกษม จาติกวณิช เป็นผู้นำ สำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วเกินคาด จอมพลสฤษดิ์พอใจมาก เนื่องจากงานวันชาติ (วันเฉลิมพระชนมพรรษา) ในปีนั้น ได้มีการประดับไฟสว่างไสวไปทั่วกรุง ภายหลังจอมพลสฤษดิ์จึงไปสอบถามพระบำราศนราดูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ว่า “เกษม จาติกวณิช นี้ลูกใคร” พอได้รับคำตอบว่าเป็นลูกพระยาอธิกรณ์ประกาศ จอมพลสฤษดิ์ก็ว่า “อืม...ไม่เลว”
จากการบริหารงานของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เกษมได้สัมผัสด้วยตนเอง ทำให้เกษมเกิดความนับถือจอมพลสฤษดิ์เป็นอย่างสูง เพราะได้เรียนรู้การบริหารงานจากจอมพลสฤษดิ์หลายประการ เช่น การบริหารงานที่ดีจะต้องรู้จักจุดเหมาะสมของการใช้อำนาจ ผู้บริหารไม่ควรไปคลุกงานรายละเอียดทุกประเภทชนิดหามรุ่งหามค่ำ หรือกระโจนลงไปทำเองทุกอย่างโดยไม่จำเป็น จุดไหนผู้อื่นทำได้ ควรมอบให้ผู้รับผิดชอบแต่ละส่วนทำไป เพื่อป้องกันไม่ให้ความรับผิดชอบหรือการตัดสินใจมากระจุกที่ใครคนใดคนหนึ่ง ขณะเดียวกันไม่ควรวัดคุณค่างานจากเวลาทำงานมากน้อยเป็นหลัก และหากใครทำงานได้ผลดี ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ก็ควรจะได้รับการเอาใจใส่ (Recognition) จากผู้ใหญ่ ซึ่งเกษมได้ยึดมั่นวิธีทำงานเช่นนี้มาตลอดชีวิต ทั้งยังได้อบรมผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยึดหลักการนี้อยู่เสมอ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้นำที่ออกตรวจถนนหนทางดูแลความสะอาดของเมืองด้วยตัวเอง เป็นผู้บัญชาการดับไฟเองเมื่อยามเกิดอัคคีภัย และสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อนการสั่งลงโทษ และอาจกล่าวได้ว่า นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ออกตรวจราชการในหัวเมืองภูมิภาคบ่อยครั้งมากที่สุด
การออกตรวจพื้นที่บ่อยๆ ในเขตชนบท ทำให้จอมพลสฤษดิ์รู้เห็นถึงความต้องการของประชาชนส่วนหนึ่งว่า ต้องการถนน น้ำ และไฟ ดังนั้นในยุคของจอมพลสฤษดิ์ถึงได้มีการสร้างถนน ชลประทาน และเขื่อนเป็นจำนวนมาก การพัฒนายุคจอมพลสฤษดิ์เป็นการพัฒนาเริ่มแรกของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ต้องได้รับการสนับสนุนลงทุนจากต่างประเทศ อันมีผลให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาได้เข้ามามีอิทธิพลในไทยมากขึ้นตามลำดับ เพราะทุนส่วนใหญ่มาจากอเมริกาทั้งในด้านการลงทุนและการให้กู้ยืม โดยที่ก่อนหน้านี้อเมริกาได้แผ่อิทธิพลเข้ามาในเมืองไทยด้วยการให้ความช่วยเหลือทางด้านการทหารอยู่แล้ว ทั้งนี้เหตุก็เพราะว่าอเมริกาต้องการหยุดการแผ่อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้เป็นสำคัญ


