วิธีระงับความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
ในสังคมที่วุ่นวาย คงไม่มีใครหลีกพ้นความรู้สึกวุ่นวายใจ ความฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำคุณงามความดี ในทางธรรมะนั้น ความรู้สึกเช่นนี้ เกิดเพราะอกุศลธรรม 2 อย่าง คือ อุทธัจจะ และ กุกกุจจะ ซึ่งเมื่อเข้าประกอบกับจิตแล้ว จิตใจขณะนั้นก็จะเป็นอกุศล
ในสังคมที่วุ่นวาย คงไม่มีใครหลีกพ้นความรู้สึกวุ่นวายใจ ความฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำคุณงามความดี ในทางธรรมะนั้น ความรู้สึกเช่นนี้ เกิดเพราะอกุศลธรรม 2 อย่าง คือ อุทธัจจะ และ กุกกุจจะ ซึ่งเมื่อเข้าประกอบกับจิตแล้ว จิตใจขณะนั้นก็จะเป็นอกุศล
อุทธัจจะ นั้นหมายถึง ความฟุ้งซ่าน
กุกกุจจะ หมายถึง ความรำคาญใจ
ความฟุ้งซ่าน ก็คือ ความซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ไม่มีความตั้งมั่น ไม่มีสมาธิ และเป็นการซัดส่ายไปในอารมณ์ที่ไม่ดี คือ ไม่เป็นบุญกุศล เช่น การฟุ้งซ่านไปในกามคุณอารมณ์ มี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น
ความรำคาญใจ นั้นคือ ความไม่สบายใจเพราะคิดถึง ความชั่วที่ได้กระทำไปแล้ว บางทีก็หวนนึกถึงแล้วเกิดความรำคาญใจ ว่าเราไม่น่าทำเลย อย่างนี้เป็นต้น หรือความรำคาญใจไม่สบายใจเพราะเรามีโอกาสทำดีแล้ว กลับไม่ทำ ปล่อยโอกาสทิ้งไป เช่น สามารถช่วยได้ไม่ช่วย หรือมีเวลา มีสุขภาพดีกลับไม่ศึกษาธรรมะ มาตอนนี้ก็ป่วยไข้เสียแล้ว นึกแล้ว ก็เกิดความรำคาญใจ อย่างนี้เป็นต้น
อุทธัจจกุกกุจจะ มักถูกกล่าวถึงร่วมกัน และเป็นส่วนหนึ่งของ “นิวรณ์” คือ ธรรมฝ่ายชั่วที่เป็นเครื่องกั้นความดี หากเราจะกระทำความดี แล้วเกิดความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ย่อมไม่สามารถทำได้ หรือเข้ามาแทรกสลับ ทำให้การทำความดีนั้นย่อหย่อนลง ด้วยใจไม่ตั้งมั่นในคุณงามความดี จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน
ในสุมังคลวิลาสินี อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรได้ยกเรื่องเหตุแห่งความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และเหตุเพื่อละความฟุ้งซ่านรำคาญใจไว้โดยสรุปดังนี้
เหตุแห่งความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
อุทธัจจกุกกุจจะ เกิดจากอโยนิโสมนสิการ ในความไม่สงบแห่งใจ ซึ่งหมายถึงความปล่อยใจให้เป็นไปโดยไม่แยบคายในความไม่สงบแห่งใจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการไม่คิดพิจารณาด้วยดี แล้วปล่อยใจคิดไปในกิเลส อกุศลต่างๆ เรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต เรื่องคนโน้น คนนี้ สิ่งโน้น สิ่งนี้ คิดไปโดยไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญา หรือไม่ได้คิดในทางที่เป็นบุญกุศล รวมทั้งคิดเสียใจถึงความชั่วที่ทำไปแล้ว ความดีที่ยังไม่ได้ทำ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจย่อมเกิดขึ้น เป็นกิเลสครอบงำจำใจได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย มหาวรรค ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบแห่งใจมีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ในความไม่สงบนั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดแล้ว ให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นดังนี้”
เหตุเพื่อละความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
อุทธัจจกุกกุจจะนั้นจะละได้ ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในความสงบแห่งใจ คือ “สมาธิ” นั่นเอง สมาธินั้นตรงกันข้ามกับความฟุ้งซ่านรำคาญใจ เพราะเป็นธรรมชาติที่สงบและตั้งมั่น จึงไม่แปลกที่หลายคน แม้สมัยนี้ เมื่อเกิดปัญหาสับสน จึงพยายามปลีกวิเวกออกบวช ออกปฏิบัติธรรม ก็เพื่อใช้สมาธิ ลดละความฟุ้งซ่านรำคาญใจได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย มหาวรรค ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสงบแห่งใจมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในความสงบแห่งใจนั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดหรือเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดแล้วดังนี้”
นอกจากนั้นยังมีธรรม 6 ประการ เพื่อการละอุทธัจจกุกกุจจะ คือ
1.ความสดับมาก
2.ความสอบถาม
3.ความชำนาญในวินัย
4.ความคบผู้เจริญ
5.ความมีกัลยาณมิตร
6.การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย
ภิกษุผู้เรียน ผู้ศึกษาพระธรรมย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้ ด้วยความเป็นพหูสูต คือเป็นผู้สดับมาก
ภิกษุผู้มากด้วยการสอบถามถึงสิ่งที่ควร และไม่ควรก็ดีผู้ชำนาญ เพราะมีความชำนาญอันสั่งสมไว้ในวินัยบัญญัติก็ดีผู้เข้าหาพระเถระ ผู้คบกัลยาณมิตรผู้ทรงวินัยก็ดี ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้
แม้ด้วยการเจรจา แต่เรื่องที่เป็นที่สบาย อันอาศัยสิ่งที่ควรและไม่ควร ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน นั่ง เป็นต้น ก็เป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ
อย่างไรก็ตาม การที่จะละอุทธัจจกุกกุจจะไม่ให้เกิดต่อไปนั้น คือ ละได้โดยสิ้นเชิงอีกต่อไปนั้น จะต้องละด้วยการได้มรรคผล เป็นพระอริยบุคคล
อุทธัจจะ จะต้องละโดยความเป็นพระอรหันต์ คือ ละด้วย อรหัตตมรรค
กุกกุจจะ จะต้องละโดยความเป็นพระอนาคามี คือ ละด้วย อนาคามิมรรค
ดังนั้น ในเมื่อเรายังเป็นปุถุชน ถึงเหตุและวิธีละความฟุ้งซ่านรำคาญใจไว้บ้าง เมื่อเกิดขึ้นกับเราจะได้นำมาสอนตนเอง เพื่อพยายามละให้ได้ แม้จะไม่ถาวรก็ทำให้เกิดความสงบ สบายใจ และจะได้เอาเวลาไปทำคุณงามความดี ดีกว่าจะมามัวแต่ฟุ้งซ่าน หรือกลุ้มใจ อยู่อย่างนั้น...


