การสร้างประชาธิปไตยโดยวัฒนธรรมทางการเมือง
วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นเรื่องของทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยม และความรู้ของประชาชนมีต่อการเมือง
โดย...วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ
วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นเรื่องของทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยม และความรู้ของประชาชนมีต่อการเมือง มีส่วนกำหนดพฤติกรรมทางการเมืองของบุคคล วัฒนธรรมทางการเมืองอาจแบ่งได้ 3 ประเภท คือ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมจำกัดวงแคบ แบบไพร่ฟ้า และแบบมีส่วนร่วมในสังคม ประชาธิปไตย วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนโดยทั่วไปที่เรียกว่า วัฒนธรรมทางการเมืองแบบอารยชนที่ค่อนข้างโน้มเอียงไปแนวทางความคิดประชาธิปไตยตะวันตก
แต่ในประเทศไทยโดยทั่วไป วัฒนธรรมทางการเมืองมีลักษณะผสมผสาน ขึ้นอยู่ว่าจะ โน้มเอียงไปในทางประชาธิปไตยหรือเผด็จการ วัฒนธรรมทางการเมือง มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาทางการเมืองอย่างน้อยสองประการคือ การสร้างความชอบธรรมทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นผลมาจากกระบวนการอบรมกล่อมเกลาทางการเมืองในสังคม ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน จังหวัด ที่ผ่านมาคำว่า “ภาคประชาสังคม” ก็เป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่พัฒนาวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการของวัฒนธรรมทางการเมืองนั้นมีความผสมกลมกลืนกันกับ สิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เนืองๆ ตลอดจนมีการถ่ายโอนเกื้อกูลในสังคมการเมืองโลกอย่างหลากหลาย จึงทำให้วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นเรื่องของ “ค่านิยม” (Value) ที่แต่ละสังคมการเมืองตระหนักและให้คุณค่าทั้งเหมือนกันและแตกต่างกัน
ดังนั้น จะสังเกตได้ว่าการยึดอำนาจการปกครองอาจทำให้ผู้มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยมีพฤติกรรมรังเกียจต่อ ผู้ปกครอง แต่ในความจริงพบว่าวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไทยๆ กลับให้คุณค่าและถือว่าเป็นความจำเป็นที่ คสช.เข้ามาควบคุมการปกครองเพื่อการสร้างประชาธิปไตยอันต้องมีการพิสูจน์และรอวันที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต และพร้อมที่จะเกิดวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่อีก
การสร้างประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้กับวัฒนธรรมทางการเมือง หากวัฒนธรรมทางการเมืองมีแนวโน้มเป็นประชาธิปไตย อันได้แก่ คุณลักษณะของการยึดมั่น สิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค การมีเหตุผล ที่สำคัญคือ การมีจิตสำนึกหน้าที่พลเมืองแยกผลประโยชน์ส่วนตนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ หากประชาชนมีวิถีชีวิตเยี่ยงนี้ การปฏิวัติรัฐประหารอาจไม่มี แต่ในสังคมไทยมีมาแล้วหลายครั้ง คงยืนยันได้ว่าวัฒนธรรมประชาธิปไตยจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป
ในขณะที่วัฒนธรรมทางการเมืองเชิงเผด็จการมีหลากหลายแนวทาง แนวทางหนึ่ง ที่สังเกตพบในสังคมไทยในวันนี้ที่ปกครองโดย คสช.ยังคงเน้นที่อำนาจนิยม เด็ดขาด การสร้างความรับผิดชอบในทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่ผู้นำแต่เพียงผู้เดียวที่ คสช.
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบเผด็จการดูเหมือนมีเจตนารมณ์อย่างหนักแน่นว่าจะเป็นไปในการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ เพื่อเข้ามาสร้างระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกัน คสช.ก็เร่งสร้างความชอบธรรมทางการเมือง โดยพยายามเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมและแบบไพร่ฟ้าไปสู่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม พบว่าบันได 3 ขั้นก่อนการเลือกตั้งจะต้องผ่านกระบวนการอบรมกล่อมเกลาทางการเมืองเปลี่ยนผ่านสักระยะหนึ่ง ที่ต้องอาศัยความ ร่วมไม้ร่วมมือของทุกฝ่าย ทุกสี ข้ามพ้นคำว่า ปรองดองและสมานฉันท์ ไปสู่การสร้างรัฐชาติใหม่ที่ยั่งยืนและมีความสุข เช่น เราควรมีคำถามตั้งโจทย์กันใหม่ว่าวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไทยๆ (เผด็จการผสมประชาธิปไตย) จะมีจุดเด่นอะไรที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากระบบนายทุนสามานย์ หรือการที่ทำให้คนในชาติมีความเข้มแข็งและยังผลประโยชน์ของชาติสู่อนุชนรุ่นหลังได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ใช่เป็นเพียงการปฏิรูปทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้วัฒนธรรมทางการเมืองจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ คสช.เร่งปลูกฝังค่านิยม อุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งหมายประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ว่าจะประกอบไปด้วยเหตุปัจจัยใดบ้างหรือสร้างตัวชี้วัด (KPI) ของความเป็นประชาธิปไตยที่ทำให้เกิดความมั่นคงแห่งรัฐและตั้งโจทย์ใหม่ที่มากกว่าการปรองดองที่มากกว่าการปฏิรูป เพื่อให้ได้ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เท่านั้น และเป็นการท้าทายของการสร้างรัฐชาติใหม่แบบไทยๆ ที่สมบูรณ์
โดยสรุป วัฒนธรรมทางการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถสร้างความโน้มเอียงให้ไปในทางเผด็จการหรือประชาธิปไตย การเอกซเรย์หรือเจาะลึกในพื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อค้นหาอุดมการณ์ที่แท้จริงของคนในชาติ เพื่อนำมาซึ่งการมีส่วนร่วมทางการเมือง มักจะถูกท้าทายอยู่เสมอว่าเร่งรีบที่จะเป็นประชาธิปไตย โดยไม่ใคร่ครวญถึงความเป็นตัวแทนที่แท้จริงของกลุ่มต่างๆ อาจส่งผลเสียต่อบันไดขั้นที่ 2 และ 3 เร่งตั้งสภานิติบัญญัติก็ดีหรือสภาปฏิรูปก็ดีเหมือนการยึดอำนาจในปี 2549 ที่ได้แต่เสื้อคลุมประชาธิปไตยโดยทหารเป็นคนตัดเสื้อให้แล้วให้ประชาชนรับรอง โดยการออกเสียงแสดง ประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และในที่สุดก็ถูกฉีกลงโดย คสช. ดังนั้น คสช. จึงเป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่ต้องการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมใหม่ แต่ต้องตระหนักถึง “ความรู้ความเข้าใจ” ของประชาชนด้วยคำถามที่ว่าปฏิรูปการเมืองเพื่อใครและอย่างไรและใครคือ ตัวจริง โดยเฉพาะ “ภาคประชาชน” ควรมีบทบาทนำมากกว่า คสช.ใช่หรือไม่ ดังนั้นจึง ไม่สำคัญไปกว่าการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางการเมืองให้เป็นแบบของไทยๆ ที่สมบูรณ์ที่เอื้อต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้นเอง


