ตร.ภูธรภาค3กวาดล้างอาวุธสงครามยึดเพียบ
นครราชสีมา-ตำรวจภูธรภาค 3 กวาดล้างอาวุธปืน อาวุธสงคราม และวัตถุระเบิดจำนวนมาก
นครราชสีมา-ตำรวจภูธรภาค 3 กวาดล้างอาวุธปืน อาวุธสงคราม และวัตถุระเบิดจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.เวลา 11.00 น. นายธงชัย ลืออดุลย์ ผวจ.นครราชสีมา ร่วมกับ พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พล.ต.วุฒิ แสงจักร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 พล.ต.ต.กรกต สาริยา รอง ผบช.ตร.ภ.3 พล.ต.ต.เติมพงษ์ สิทธิประเสริฐ รอง ผบช.ตร.ภ.3 พลต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร ผบก.ตร.ภ.จว.นครราชสีมา แถลงผลระดมกวาดล้างผู้กระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนและอาวุธสงครามในพื้นที่จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-8 มิ.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้กระทำผิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน จำนวน 104 ราย ผู้ต้องหา 105 คน ของกลางอาวุธปืน จำนวน 103 กระบอก แยกเป็น อาวุธปืนสั้น จำนวน 72 กระบอก และปืนยาว จำนวน 31 กระบอก เครื่องกระสุนจำนวน 16 นัด วัตถุระเบิดชนิด เอ็ม 88 จำนวน 1 ลูก และระเบิดชนิด เอ็ม 61 จำนวน 1 ลูก
ทั้งนี้เพื่อตอบสนองนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีคำสั่งให้ส่งวันที่ 29 พ.ค.2557 ให้ผู้ที่อาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดครอบครองสำหรับใช้เฉพาะแต่การสงครามนำส่งมอบให้นายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ภายในวันที่ 10 พ.ค.ให้ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ไม่ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนดนั้น ในพื้นที่จ.นครราชสีมา ได้ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.- 8 มิ.ย.มีผลการจับกุมอาวุธปืนทั้งสิ้น 30 กระบอก แยกเป็นอาวุธปืนสั้นจำนวน 20 กระบอก อาวุธปืนยาวจำนวน 10 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนรวมทั้งสิ้น 16 นัด
ด้านพล.ต.ท.พิสัณห์ กล่าวว่า ประชาชนได้นำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนมามอบให้กับทางเจ้าหน้าที่หน้า ตลอดทั้งนำไปวางทิ้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ แล้วโทรแจ้งมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจยึดในช่วงที่มีการประกาศของ คสช. ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.57 ถึง วันที่ 10 มิ.ย.57 ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค3 ก็มีการติดต่อเข้ามาส่งมอบอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งทุกคนก็ไม่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามประกาศของ คสช. แต่อยากจะฝากประชาชนที่คิดจะฝ่าฝืน ไม่ยอมนำอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนและวัตถุระเบิดมาส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ภายในวันที่ 10 มิ.ย.57 ที่เป็นวันสุดท้ายในการประกาศของ คสช. จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีโทษตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี


