ภัยจากเพื่อนบ้านในอนาคต
กลีส 710 เป็นดาวฤกษ์ธรรมดาดวงหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปในอวกาศหลายสิบปีแสง
กลีส 710 เป็นดาวฤกษ์ธรรมดาดวงหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปในอวกาศหลายสิบปีแสง แต่ได้รับความสนใจจากนักดาราศาสตร์ เมื่อมีการค้นพบว่าในอีกราว 1.4 ล้านปี นับจากปัจจุบัน ดาวดวงนี้จะกลายเป็นเพื่อนบ้านของดวงอาทิตย์ และมีโอกาสที่แรงโน้มถ่วงของดาวจะรบกวนจนทำให้ฝูงดาวหางจำนวนมากผิดปกติเคลื่อนที่พุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์
กลีส 710 (Gliese 710) เป็นดาวฤกษ์จางๆ ในกลุ่มดาวงู กลุ่มดาวนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหัวที่อยู่ทางทิศตะวันตก กับส่วนหางที่อยู่ทางทิศตะวันออก คั่นตรงกลางด้วยกลุ่มดาวคนแบกงู โดยพื้นที่ส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวคนแบกงูก็คั่นอยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับกลุ่มดาวคนยิงธนู
ดาวกลีส 710 อยู่ทางด้านส่วนหางของดาวงู ซึ่งอยู่ติดกับกลุ่มดาวคนยิงธนู ชื่อดาวเป็นชื่อที่ตั้งตามบัญชีดาวของวิลเฮล์ม กลีส นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นผู้จัดทำบัญชีดาวฤกษ์ใกล้ดวงอาทิตย์ กลีส 710 เป็นดาวฤกษ์สีส้มที่มีความสว่างน้อย จัดเป็นดาวแคระแดง จางเกินกว่าจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเห็นเป็นดาวดวงเล็กๆ ไม่โดดเด่นในกล้องโทรทรรศน์ มวลและขนาดคิดเป็น 2 ใน 3 ของดวงอาทิตย์ อุณหภูมิพื้นผิวต่ำกว่าดวงอาทิตย์ ปัจจุบันดาวดวงนี้อยู่ห่างดวงอาทิตย์ประมาณ 63 ปีแสง
ทีมนักดาราศาสตร์นำโดย โจน การ์เซียซานเชส จากเจพีแอล องค์การนาซา เผยแพร่งานวิจัยเมื่อปี 2542 โดยอาศัยข้อมูลจากดาวเทียมฮิปพาร์คอส ซึ่งใช้วัดตำแหน่ง ระยะห่าง และทิศทางการเคลื่อนที่ของดาวต่างๆ แสดงว่าดาวกลีส 710 กำลังเคลื่อนเข้าหาดวงอาทิตย์ คาดว่าในอีกราว 1.4 ล้านปี กลีส 710 จะผ่านใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดด้วยระยะห่างประมาณ 1.3 ปีแสง ซึ่งนับเป็นระยะที่ใกล้มาก ปัจจุบันดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดคือ ดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้า อยู่ห่าง 4.2 ปีแสง
การเข้าใกล้ของดาวกลีส 710 จะทำให้ดาวดวงนี้สว่างขึ้นจนเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า ความสว่างและสีจะใกล้เคียงดาวแอนทาเรสหรือดาวปาริชาตในกลุ่มดาวแมงป่อง (ช่วงนี้จะเห็นดาวแอนทาเรสอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเวลาหัวค่ำ) หรืออาจสว่างกว่าได้อีก
โลกและดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยะไม่ได้รับอันตรายโดยตรงจากเหตุการณ์นี้ แต่นักดาราศาสตร์คาดว่าแรงโน้มถ่วงของดาวกลีส 710 จะรบกวนดาวหางจำนวนมากที่อยู่บริเวณขอบของระบบสุริยะ ดาวหางบางส่วนจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้มีดาวหางเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าปกติ และอาจนำมาสู่มหันตภัยร้ายแรงอย่างดาวหางชนโลก
การที่มีดาวหางเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์หลายดวงในแต่ละปี โดยมาจากทุกทิศทุกทาง ทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่าไกลออกไปเป็นถิ่นที่อยู่ของดาวหาง ดาวหางจำนวนมากอยู่ภายในบริเวณทรงกลมล้อมรอบดวงอาทิตย์ ขอบเขตด้านนอกของทรงกลมอยู่ห่างประมาณ 100,000 หน่วยดาราศาสตร์ หรือราว 1.6 ปีแสง (1 หน่วยดาราศาสตร์คือระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์) เรียกบริเวณนั้นว่าเมฆของออร์ต (Oort Cloud) ตามชื่อสกุลของผู้ที่เสนอทฤษฎีนี้ คาดว่ามีดาวหางอยู่ในนั้นนับล้านล้านดวง
การคำนวณพบว่ามีโอกาสสูงที่กลีส 710 จะเคลื่อนเข้ามาภายในเมฆของออร์ต นักดาราศาสตร์เชื่อว่าการเข้าใกล้ที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้น่าจะทำให้ดาวหางจำนวนมากถูกดึงเข้าหาดวงอาทิตย์ ในอดีตโลกเคยเผชิญกับการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากพร้อมๆ กันมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดคือการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน เชื่อว่าเกิดจากดาวหางพุ่งชนโลกตรงบริเวณที่ปัจจุบันคือชายฝั่งเม็กซิโก โดยมีหลักฐานจากร่องรอยหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ และผลจากการสำรวจทางธรณีวิทยา
หลังจากบัญชีดาวฮิปพาร์คอสได้รับการปรับปรุงใหม่เมื่อปี 2550 งานวิจัยของวาดิม ว. โบบียเลฟ แห่งหอดูดาวปุลโคโวในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เผยแพร่เมื่อปี 2553 พบว่าดาวกลีส 710 จะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าที่คาดไว้ อาจใกล้ที่ระยะ 1.0 ปีแสง เมื่อคำนึงถึงความไม่แน่นอนทางสถิติของการสังเกตตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของดาวดวงนี้ เขาพบว่ามีโอกาสร้อยละ 86 ที่ดาวกลีส 710 จะผ่านเข้ามาในเขตเมฆของออร์ต และมีโอกาสราวร้อยละ 0.01 ที่ดาวดวงนี้จะเฉียดดวงอาทิตย์ที่ระยะใกล้เพียง 0.02 ปีแสง
ผลการวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของดาวที่อยู่ใกล้ภายในระยะ 100 ปีแสง จำนวน 35,000 ดวง พบว่าภายใน 2 ล้านปีนี้ ไม่มีดาวดวงอื่นที่จะเฉียดใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่ากลีส 710 อีกแล้ว ดาวดวงนี้จึงเป็นดาวดวงเดียวที่อาจนำพาหายนะมาสู่ระบบสุริยะ
แต่ด้วยระยะเวลาอีกนานถึง 1.4 ล้านปี แน่นอนว่าเรายังไม่ต้องกังวลกับการเข้าใกล้ของดาวกลีส 710 ในขณะนี้ และก็ไม่แน่ว่ามนุษย์จะยังอยู่บนโลกในขณะนั้นหรือไม่ บางทีเมื่อถึงเวลานั้น เราอาจมีเทคโนโลยีสูงพอที่จะป้องกัน หรือหาบ้านใหม่ในระบบดาวอื่นที่ปลอดภัยกว่าก็เป็นได้
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (18 มิ.ย.)
ท้องฟ้าเวลาหัวค่ำมีดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวอังคาร และดาวเสาร์ วางตัวเรียงกันตามลำดับ จากทิศตะวันตกถึงทิศตะวันออก ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวสว่างเห็นได้ง่ายที่สุด อยู่ทางทิศตะวันตกบริเวณกลุ่มดาวคนคู่ ตกลับขอบฟ้าในเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ดาวพุธอยู่ในทิศทางเดียวกับดาวพฤหัสบดี แต่อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้ามากกว่า ดาวพุธกำลังเคลื่อนกลับเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และมีความสว่างลดลง ปลายสัปดาห์จึงสังเกตได้ยาก
ดาวอังคารอยู่สูงบนท้องฟ้าด้านทิศใต้ในกลุ่มดาวหญิงสาว เคลื่อนต่ำลงจนตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในเวลาตี 2 ดาวเสาร์อยู่ในกลุ่มดาวคันชั่ง ผ่านจุดสูงสุดบนท้องฟ้าทิศใต้ในเวลา 4 ทุ่มครึ่ง และตกลับขอบฟ้าในเวลาตี 4 ครึ่ง ดาวศุกร์ขึ้นเหนือขอบฟ้าหลังตี 3 ครึ่ง อาจเริ่มเห็นราวตี 4 เมื่อท้องฟ้าสว่างจะเห็นดาวศุกร์ขึ้นไปอยู่ที่มุมเงยประมาณ 30 องศา
สัปดาห์นี้เป็นข้างขึ้น จันทร์เสี้ยวอยู่บนท้องฟ้าทิศตะวันตกในเวลาหัวค่ำ ดวงจันทร์ผ่านใกล้ดาวพฤหัสบดีในค่ำวันที่ 1 มิ.ย. ที่ระยะ 6 องศา แล้วสว่างครึ่งดวงในวันที่ 6 มิ.ย. คืนถัดไปมองเห็นดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวอังคาร โดยเข้าใกล้กันที่สุดก่อนดวงจันทร์ตกในเวลาตี 1 ครึ่ง ที่ระยะ 4 องศา
วันอาทิตย์ที่ 1 มิ.ย. สถานีอวกาศนานาชาติโคจรผ่านเหนือท้องฟ้าประเทศไทย สามารถสังเกตเห็นเป็นจุดสว่างคล้ายดาว แต่เคลื่อนที่บนท้องฟ้า กรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียงเริ่มเห็นทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเวลา 20.24 น. จากนั้นสถานีอวกาศจะเคลื่อนสูงขึ้นไปทางขวา เข้าสู่เงามืดของโลกทางทิศตะวันตกที่มุมเงย 40 องศา ในเวลา 20.27 น.
วันจันทร์ที่ 2 มิ.ย. เริ่มเห็นสถานีอวกาศทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเวลา 19.35 น. จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางซ้าย ผ่านใกล้ดาวอังคาร ถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มุมเงย 60 องศา แล้วไปสิ้นสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเวลา 19.42 น.
วันศุกร์ที่ 6 มิ.ย. เริ่มเห็นสถานีอวกาศทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเวลา 04.38 น. จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางขวา ถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่มุมเงย 45 องศา แล้วไปสิ้นสุดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเวลา 04.45 น. (เวลาอาจคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย)


