posttoday

สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (จบ)

11 พฤษภาคม 2557

ฝีมือทำอาหารของสมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอดนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระนิพนธ์ชมไว้

ฝีมือทำอาหารของสมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอดนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระนิพนธ์ชมไว้ในกาพย์เห่เรือเครื่องคาวหวานหลายตอน มีที่จะยกตัวอย่างให้เห็นคือ

ชีวิตในเบื้องต้นของสมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอดทรงมีความสุขยิ่งในการปรนนิบัติรับใช้พระบรมราชสวามี

แต่กระนั้นเมื่อพระราชสวามีเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ พระนางมิได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศให้สูงขึ้นแต่อย่างใดในรัชกาล แต่คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าเป็นพระมเหสี ดังปรากฏความว่า “...ในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่านได้เจ้าฟ้าหญิง ซึ่งเป็นพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าพี่นางในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นพระชายา ...ครั้นเมื่อท่านเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็มิได้แต่งตั้งยศศักดิ์อันใดอีก แต่คนทั้งปวงเข้าใจว่าท่านเป็นพระมเหสี เรียกว่า สมเด็จพระพันวัสสาฯ นี้คำเดียวกับพันปี เป็นคำให้พร...”

แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงต้องพระทัยสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระขนิษฐาต่างพระมารดา เป็นเหตุทำให้เจ้าฟ้าบุญรอดทรงน้อยพระทัย ไม่เข้าเฝ้าและไม่ยอมปรุงเครื่องเสวยที่โปรดปรานขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอีกเลย แม้ว่าพระราชสวามีจะเสด็จไปหาที่พระตำหนักบ่อยครั้ง แต่ก็ทรงแข็งพระทัยไม่ยินยอมให้พบจนกระทั่งวันที่พระราชสวามีประชวรก็ไม่เคยเสด็จไปฟังพระอาการ โดยระหว่างประชวรนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงออกพระโอษฐ์ถึงสมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอดพระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่ง มีคนนำความไปกราบทูลให้ทรงทราบก็ยังทรงแข็งพระทัยไม่ยอมเสด็จเยี่ยม เล่ากันว่าจนสมเด็จพระอมรินทราพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกริ้ว ตรัสว่า “แม่รอดนี้เป็นอย่างไรนะ พี่จะสิ้นแล้วยังไม่ขึ้นมา”

สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (จบ)

 

ความทราบถึงสมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอด จึงเสด็จตามพระวินัยแห่งราชสกุล แต่เมื่อเสด็จขึ้นไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็สายเสียแล้ว พระราชพงศาวดารบันทึกว่า

“...แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้ มิได้ตรัสสิ่งไรมาจนถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาท เสด็จสู่สวรรคต”

สมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอด ถวายบังคมพระบรมศพด้วยพระอาการสงบ แล้วเสด็จออกจากพระที่นั่งจักพรรดิพิมานสู่ท้องพระโรง ในความเงียบสงัด ณ ท้องพระโรงนั่นเอง สมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอดทอดพระเนตรเห็นสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ขณะนั้นมีพระชันษาได้ 26 ปี ประทับทรงกันแสงเบาๆ อยู่แต่ลำพังพระองค์ จึงเสด็จเข้าไปยืนทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่ง ทรงลดพระองค์ประทับสวมกอดสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ทรงกันแสงอยู่ด้วยกันสองพระองค์เป็นเวลาช้านาน เป็นที่สะเทือนใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น ซึ่งได้เล่าต่อๆ กันมาจนในปัจจุบัน

สมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอด หรือสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงมีพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 3 พระองค์ คือ

1.เจ้าฟ้าชาย (ราชกุมาร) ประสูติเมื่อปี 2344 เป็นเจ้าฟ้าที่ 1 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สิ้นพระชนม์ในวันประสูติ ในสมัยรัชกาลที่ 1

2.เจ้าฟ้าชายมงกุฎ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประสูติเมื่อปี 2347 ที่ 2 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผนวชอยู่ 27 พรรษา เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้เป็นเปรียญ ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระราชาคณะ เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4

3.เจ้าฟ้าชายจุฑามณี (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประสูติเมื่อปี 2351 ที่ 3 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

หลังการสวรรคตของพระราชสวามี พระองค์ทรงนำพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ไปมอบให้แด่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พร้อมกับตรัสว่า “พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว น้องยังเล็กนัก ปกครองบ้านเมืองไม่ได้ เจ้าจงรับราชการปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้เป็นสุขเถิด” ทั้งนี้ เนื่องจากในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ในรัชกาลก่อนยังทรงพระเยาว์นัก ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ ราชสมบัติจึงควรกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิทั้งปวง

สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ได้กราบถวายบังคมลาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปประทับ ณ พระราชวังเดิมกับพระราชโอรสพระองค์น้อย สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี ทรงใช้ชีวิตหมดไปกับการทำบุญ สร้างวัด ทรงสดับธรรม ไม่ทรงเกี่ยวข้องกับทางราชการ จนถึงพระชนม์ได้ 69 พรรษา ก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2380 ด้วยพระโรคชรา ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 3 ความว่า “วันที่ 18 ต.ค. 2380 เวลาเช้า 4 โมง สมเด็จพระพันวัสสาประชวรพระโรคชราสวรรคตในนั้น” ส่วนในหนังสือ จดหมายเหตุโหร ฉบับพระยาประมูลธนรักษ์ บันทึกไว้ว่า “ปีวอก จ.ศ. 1198 วันอังคาร ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 11 พันวัสสานิพพาน เพลาเช้า 2 โมงเศษ พระชนมายุได้ 69 พรรษา”

วันที่ 16 เม.ย. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการทั้งใหญ่น้อย ถวายพระเพลิงในวันต่อมา ได้แจงพระรูปลอยพระอังคารเก็บพระอัฐิไว้ในโกศทองคำ ทำการสมโภชอีกวันหนึ่งรวมเป็นสี่วันสี่คืน ครั้นรุ่งขึ้นจึงแห่พระอัฐิลงเรือเอกชัยที่ท่าพระมาสู่พระราชวังเดิม

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"