การพ้นจากตำแหน่งรักษาการ
การที่จะพ้นจากตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประเด็นที่นักกฎหมายของรัฐบาลพยายามนำเสนอสังคมว่า เมื่อยุบสภาแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงแล้ว จึงเป็นรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปเท่านั้น เท่ากับไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงไม่อาจถอดถอนได้อีก โดยเปรียบเทียบว่า คนจะตาย 2 ครั้งได้อย่างไร
การที่จะพ้นจากตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประเด็นที่นักกฎหมายของรัฐบาลพยายามนำเสนอสังคมว่า เมื่อยุบสภาแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงแล้ว จึงเป็นรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปเท่านั้น เท่ากับไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงไม่อาจถอดถอนได้อีก โดยเปรียบเทียบว่า คนจะตาย 2 ครั้งได้อย่างไร
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งที่มีความเป็นรัฐมนตรีอยู่ด้วย บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติถึงเหตุที่ทำให้การพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี จึงรวมถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 180183 ซึ่งมีทั้งการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะและความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว และบทบัญญัติให้อยู่ในตำแหน่งเพื่อรักษาการ ดังนี้
คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ มาตรา 180
1.ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 182
2.มีการยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ
3.คณะรัฐมนตรีลาออก
สำหรับความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว บัญญัติไว้ในมาตรา 182 และ 183
1.ตาย
2.ลาออก
3.ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกแม้จะยังไม่ถึงที่สุดหรือรอลงอาญา
4.สภาผู้แทนไม่ไว้วางใจ
5.ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม
6.นายกรัฐมนตรีปลด
7.กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 267, 268 หรือ 269 คือกรณีของคุณถวิล เปลี่ยนศรี
8.วุฒิสภาถอดถอน
การพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีทั้งสองกรณี กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในตำแหน่งรักษาการไว้เฉพาะตามมาตรา 181 คือ คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่ถ้าเป็นการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเพราะการยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ จะถูกจำกัดอำนาจไม่ให้แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ไม่ใช้จ่ายเงินงบประมาณ ไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการผูกพันถึงคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
เหตุผลเป็นที่เข้าใจได้ว่า ประเทศต้องมีรัฐบาล เมื่อคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ย่อมไม่มีใครทำหน้าที่แทนได้ จึงต้องอยู่รักษาการก่อน จนกว่าจะได้ชุดใหม่
ส่วนการพ้นจากตำแหน่งอันเนื่องมาจากความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 ไม่มีกฎหมายให้อยู่ในตำแหน่งรักษาการต่อไป เพราะเมื่อพ้นเฉพาะตัว หากเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีย่อมตั้งคนใหม่แทนได้ และหากเป็นการพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคท้าย ให้ดำเนินการสรรหานายกรัฐมนตรีเหมือนเมื่อผ่านการเลือกตั้งทั่วไป
การเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีรักษาการ รัฐธรรมนูญมาตรา 181 ใช้คำว่า “ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่” รัฐธรรมนูญไม่ได้ใช้คำว่ารักษาการ แต่ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป โดยจำกัดอำนาจไว้เท่านั้น
นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรักษาการ เป็นการพูดภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ แต่ยังต้องถือว่า ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ยังดำรงตำแหน่งอยู่ แต่อำนาจลดลง จะอ้างว่าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีแล้วไม่ได้
ที่สำคัญ ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน ยังรับเงินเดือนตามปกติ ทั้งๆ ที่ควรจะได้รับน้อยลง เพราะอำนาจหน้าที่ลดลง
ความเป็นรัฐมนตรีจึงยังมีอยู่ ไม่ใช่ตายแล้วตายอีกอย่างที่รัฐบาลพยายามเปรียบเทียบ
สำหรับกรณีที่นักกฎหมายแดงพยายามเปรียบเทียบ คือ กรณีเรื่องการหนีทหารของคุณอภิสิทธิ์ ที่ศาลไม่พิจารณาต่อเมื่อมีการยุบสภา ทำให้สมาชิกภาพความเป็น สส.ของคุณอภิสิทธิ์สิ้นสภาพไปนั้น เหตุผลไม่ใช่เพราะศาลไม่มีอำนาจพิจารณา แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณา เพราะเป็นการพ้นจากตำแหน่ง สส.อย่างเด็ดขาด เงินเดือนก็ไม่ได้รับ หน้าที่เพื่อรักษาการก็ไม่มี กรณีจึงไม่เหมือนกัน
ประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ในกรณีหากนายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 ที่เป็นการสิ้นสุดเฉพาะตัวนั้น หากเป็นกรณีนายกรัฐมนตรีพ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรี คือ ต้องหลุดจากตำแหน่งมาตรา 180 บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามนายกรัฐมนตรีไปด้วย ซึ่งหมายถึงคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน จึงมีปัญหาว่า ในกรณีที่เป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ ยังมีสิทธิรักษาการต่อไปตาม 181 หรือไม่
หากตีความว่าต้องรักษาการต่อไป อาจเป็นช่องทางให้ทำผิดได้เรื่อยๆ ก็จะอยู่รักษาการต่อไปไม่รู้จบ กรณีที่มาตรา 181 บัญญัตินั้น เป็นกรณีปกติที่คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งจริงๆ ไม่ใช่พ้นจากตำแหน่งรักษาการ
อย่างไรก็ตาม หากคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งตามนายกรัฐมนตรีไปด้วยนั้น มาตรา 180 บัญญัติให้สภาผู้แทนดำเนินการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อไป แต่ปัจจุบันไม่มีสภาผู้แทนราษฎร จะทำกันอย่างไร
ทั้งหลายทั้งปวงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติไว้ ถ้าจะตีความว่าต้องเคร่งครัดตามตัวอักษร ก็จะมีปัญหาที่ไม่อาจปฏิบัติได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามนายกรัฐมนตรีไป ก็ต้องสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ก็ทำไม่ได้อีก เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่มี สส.ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงต้องบัญญัติแนวทางแก้ปัญหาเป็นหลักทั่วไปไว้ ซึ่งในรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็คือ มาตรา 3 และมาตรา 7 นั่นเอง
หากให้นักกฎหมายของรัฐบาลตีความ คำตอบก็คงอยู่ที่ให้รักษาการต่อไปเรื่อยๆ แต่หากให้ กปปส.ตีความ ก็คงบอกว่า เมื่อรัฐบาลทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
จึงต้องมีคนกลาง คือ ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งเป็นหลักที่ยอมรับปฏิบัติกันทั่วโลก เพราะเป็นหลักการดุลคานอำนาจในระบอบประชาธิปไตยสากล
จะมีก็แต่เฉพาะเมืองไทยที่มีรัฐบาลภายใต้ประชาธิปไตยในระบอบทักษิณเท่านั้น ที่สถาปนาคนหน้าเหลี่ยมให้อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยทั้งสาม จึงไม่ยอมรับกระบวนการตุลาการ ไม่ยอมรับอำนาจศาล เป็นคนบาปที่เร่ร่อนหนีคดี แล้วใช้อำนาจเงินทำลายประเทศตัวเองอยู่ทุกวันนี้
เพียงเพื่อจะได้กลับมาอย่างเท่ๆ


