posttoday

สุหฤท สยามวาลา"ปฏิรูปเริ่มต้นที่นักการเมือง"

10 มีนาคม 2557

สิ่งที่เราต้องทำคือแพ็คกันแล้วหันหน้าไปหาผู้มีอำนาจที่ปกครอง บอกพวกเขาว่าเห็นหัวพวกเราบ้างนะ

เรื่อง : อินทรชัย พาณิชกุล/ภาพ : กิจจา อภิชนรจเลข

เกือบจะครบหนึ่งปีแล้วกับการกระโดดเข้ามาสมัครลงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แม้จะไม่ได้เป็นพ่อเมืองสมใจ แต่คะแนนเสียงที่กวาดมาได้มากกว่า 107,138 คะแนน ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าความป๊อบปูล่าร์ของเขานั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

วันนี้ โต้-สุหฤท สยามวาลา คุณพ่อลูกสาม ดีเจ นักจัดรายการวิทยุ และผู้บริหารบริษัทดีเอชเอ สยามวาลา ผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนชื่อดังระดับประเทศ ยังคงติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด และแน่นอนว่าพร้อมจะกระโจนลงสู่สนาม ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ ทุกที่ ทุกเวลาเมื่อมีโอกาส ในฐานะประชาชนคนไทยที่รู้สึกเหมือนกับคนอีกหลายล้านคนว่า 'ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างแล้ว'

สุหฤท เล่าให้ฟังว่าการลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อปีที่แล้ว เป็นประสบการณ์ที่สุดติ่งมาก แม้ไม่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่ากทม. แต่นโยบายที่เคยหาเสียงไว้ มีโอกาสเมื่อไหร่จะรณรงค์สานต่อแน่นอน

"ประสบการณ์การลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น และมีคนรู้จักเรามากขึ้น เราเป็นคนโนเนมทางการเมือง คะแนนที่ได้มาขนาดนั้น จากการแข่งขันในลักษณะนั้น มันเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้าง proud นะ ได้พรีเซนต์ไอเดีย สามารถโน้มน้าวคนให้มาฟังและเชื่อมั่นในตัวเราได้ เสียดายอยู่นิดเดียวตรงช่วงโค้งสุดท้าย ไม่มีใครพูดเรื่องนโยบายกันแล้ว เพราะมันมีสิ่งที่ใหญ่กว่านโยบาย อย่างเช่นการกลัวเสียกรุง เราก็พูดของเราต่อไป แต่เซ็งที่เอาการเมืองระดับประเทศมายุ่งเกี่ยว

107,138 คะแนนที่ได้มา ผมกตัญญูกับคะแนนเหล่านั้นมาก ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้  ใครมาขอช่วยให้ทำโน่นทำนี่เพื่อสังคม เราก็ช่วยไปเท่าที่จะสามารถช่วยได้ ชวนเข้าพรรคการเมืองก็มี (หัวเราะ) หลังจากวันนั้นผมได้ตั้งกองทุนชื่อ 'กองทุนสุหฤทธิ์เพื่อกรุงเทพไชโย' โดยรวบรวมเงินจากการเป็นดีเจตามงานต่างๆอีเวนท์ เป็นการสานต่อด้วยการรณรงค์มากกว่าการที่จะต้องไปมีตำแหน่งอะไร เราก็มีความสุขไปอีกแบบนึง ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังแพ้เลย ใส่เงินเข้าไป รอวันที่เราจะออกมารณรงค์เรื่องที่เราเคยหาเสียงไว้ นั่นคือรณรงค์ให้คนเปลี่ยน อย่าไปรอผู้มีอำนาจ สังคมนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนมีอำนาจไม่กี่คน ผมต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็วฉับพลัน เราควรจะใจร้อนนะ บ้านเมืองอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้ว" 

สุหฤท สยามวาลา"ปฏิรูปเริ่มต้นที่นักการเมือง"

หลังการชุมนุมครั้งใหญ่ของกลุ่มกปปส. ท้องถนนเมืองกรุงได้มีโอกาสเห็นมวลมหาประชาชนออกมาเดินเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลและเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ สุหฤทยอมรับว่าไม่เคยเห็นคนออกมากันมืดฟ้ามัวดินกันแบบนี้นานแล้ว เขาบอกว่านี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าประชาชนทนไม่ไหวแล้ว

"เหมือนเป็นสัญญาณของการถูกกดอยู่จากอะไรบางอย่าง ผมขอใช้ศัพท์ว่าผีหัวขาด วันนี้ประชาชนไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้ที่รัฐบาลไม่เห็นหัวเลย เราโดนกระทำแบบไม่เห็นหัวครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงจุดที่มันระเบิดออกมา นั่นคือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ... มันตบหน้า มันคงคิดว่ากูเป็นซากศพที่อยู่ในประเทศนี้มั้ง คิดจะทำอะไรก็ได้ ออกพ.ร.บ.แบบนี้ออกมา ด้วยลักษณะแบบนั้น ใครไม่โกรธก็มหัศจรรย์แล้วครับ"น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

"พวกเรามัวแต่บ้า มองเรื่องสี เรื่องพรรคที่มันมาแบ่งแยก ทำไมเราไม่ดูสิ่งที่เขากระทำ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำดี ตบมือให้เลย เวลาพรรคประชาธิปัตย์ทำแย่ เราก็ต้องด่า ไม่ใช่หลับหูหลับตาชมว่าดีหมดทุกอย่าง ด่าว่าแย่หมดทุกอย่างเราต้องมองที่การกระทำเป็นหลัก ผมเป็นคนไม่มองพรรคการเมืองเป็นหลัก บางอย่างเขาทำดี ชมเลย บางอย่างที่มันแย่ก็ต้องด่า นี่คือหน้าที่ของประชาชน  

"วันนี้เกิดสีขึ้นมาบังทุกอย่างหมด ใครที่เป็นคนยิ้มอยู่ ... ก็นักการเมืองไง  แล้วเขาจะยอมให้สิ่งพวกนี้หายไปไหม ไม่ยอมหรอก เพราะมันคือเครื่องมือหลักเลยในการที่เขาจะควบคุมประชาชนอยู่ สิ่งที่เราต้องทำคือแพ็คกันแล้วหันหน้าไปหาผู้มีอำนาจที่ปกครอง บอกพวกเขาว่าเห็นหัวพวกเราบ้างนะ ทำแต่สิ่งดีๆนะ ประเทศนี้กูมอบให้มึง กูมีทรัพย์สิน กูมีชีวิต มีอนาคตของลูกหลานเป็นเดิมพัน มึงปล่อยให้คนมาทำเล่นๆได้ไง

"บ้านเมืองเราเจริญทุกวันนี้ นักการเมืองมีส่วนสร้างความเจริญนั้นๆ เวลาช่วยคนรากหญ้า ลงไปปลดหนี้ให้เขา เอาหนี้นอกระบบออก แต่เขาจะมี hidden agenda อะไรไม่รู้ เรารู้แค่ผลลัพธ์ปลายๆเอา มันมีการประกันราคาข้าวซึ่งดีมาก มันจะรั่วไหลไปยังไง อย่างน้อยมันมีบัญชีเช็คได้ แต่โครงการอันตรายคือโครงการที่ไม่สามารถผ่านการตรวจสอบอะไรได้เลย ไอ้นี่คือมหันตภัยขั้นสูงสุด ที่ผ่านมามันจะถูกทวน ถูกสอบควบคุมด้วยงบประมาณ ด้วยรัฐสภา คดีใหญ่ๆ ยุบสภาหมดแหละครับ แต่วันนี้มันหมดแล้ว มันทำอะไรไม่ได้สักอย่าง วันนี้มันไม่เกิดแล้ว"

ปรากฏการณ์สงครามไซเบอร์ Hate Speech ไปจนถึงการ unfriendก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ในสายตาของเขา

"มีที่ไหนประชาชนมานั่งด่ากันเอง เลิกคบเป็นเพื่อน ความสุดติ่งของมันคือกูเลิกคบมึงทั้งๆที่กูคบมึงมาสิบปี มันเคยมีไหมเล่า เมื่อก่อนด่ากันพอหอมปากหอมคอ นี่ถึงขั้นเลิกคบกัน ผมมีเพื่อนสีแดงแจ๋ ผมบอกกูรักมึง อย่าคุยเรื่องการเมืองเลย แต่ถ้ามึงอยากคุย กูต้องคุยได้ด้วยนะ พอคุยเริ่มจะทะเลาะกัน ก็หยุดเถอะ ถามจริงๆว่านักการเมืองมันไปงานศพมึงไหม แต่กูไป เวลามึงจะบวช ใครเป็นคนแบกมึง กูนี่ไง นักการเมืองเขาไม่เอามึงขึ้นบ่าหรอก งานแต่งงาน ใครใส่ซอง ใครให้ของขวัญลูกมึงในวันที่ลูกมึงคลอด

"เรื่องโดน Unfriend ไม่รู้ ไม่สนใจ เวลาเพื่อนโพสต์สเตตัสที่ผมไม่เห็นด้วย เราก็จะไม่เข้าไปกระหน่ำ มีบางคนเท่านั้นที่ขอบล็อคไว้ก่อน ไม่ไหวจริงๆ สุดโต่งมาก อ่านแล้วทุกข์เปล่าๆ ทุกวันนี้ทุกคนเห็นอะไรก็แชร์กันหมด จนรู้สึกว่าวันนี้กูแชร์อะไรไม่ได้เลย อ่านอะไรก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นความจริงแล้ว เลยไม่กล้าจะแชร์บ้าอะไรสักอย่าง ยกเว้นเนื้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ จากสำนักข่าวเท่านั้น

"มีอยู่ครั้งหนึ่งโดนด่ามากที่สุดตั้งแต่เล่นเฟซบุ๊กมา ตอนเกิดเหตุการณ์ปะทะกันที่รามคำแหง ผมโพสต์สเตตัสว่ากลับบ้านเถอะ ปรากฏว่าโดนด่า พี่ไม่สู้ก็หุบปากไป อีกฝั่งก็บอกสมน้ำหน้า โดนซะมั่งก็ดี บางสเตตัสถ้าเราโพสต์ไปแล้วมันไปสร้างความขัดแย้งเพิ่มเติม ก็ไม่ทำ แต่จุดยืนจริงๆของเราก็ต้องพูด อย่างเรื่องจำนำข้าวพูดเลย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมพูดเลย มันเป็นเรื่องที่ต้องพูด"

สุหฤท สยามวาลา"ปฏิรูปเริ่มต้นที่นักการเมือง"

ถามว่าในฐานะซัมบอดี้ การออกมา 'เปิดหน้า' ซัดรัฐบาลอย่างไม่เกรงกลัวของเหล่าศิลปินดารานักร้อง รู้สึกอย่างไร สุหฤทหัวเราะ ก่อนตอบว่า

"ก่อนหน้านี้ อีพวกคนมีชื่อเสียงหุบปากหมด คุณจะเหลืองจะแดง ใครจะเป็นอะไรไม่มีใครรู้ แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทุกคนเปิดหน้าหมด เพราะมันถึงจุดแล้ว นี่มันเป็นอาชีพเขาเลยนะ เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเปิดหมดหน้าตัก

"ผมคิดว่าเราต้องทำต่อไปจนคนจะยอมรับได้ว่าดารานักร้องก็มีกบาล ทุกคนเขามีกบาล มีความคิดทางการเมือง แต่ไม่เกี่ยวกับเพลงรักที่เขาแต่ง คุณจะโกรธอะไรขนาดนั้น เมื่อก่อนเคยร้องเพลงไมโครแทบตาย แต่วันนี้ถ้าพี่หนุ่ยจะเป็นแบบนั้น เพลงเขาก็ยังเพราะอยู่ คุณจะแดง คุณจะเหลือง ผมก็ไม่ได้ไปด่าเหมารวมผลงานคุณ เพราะผลงานคุณมันดี

"เรื่องที่ผมขึ้นไปปราศรัยบนเวที ครั้งแรกสมัยช่วงแรกๆของการคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม คุณกรณ์ จาติกวณิชมาชวนบอกว่าเวทีนี้เป็นเวทีประชาชน แต่ผมบอกว่าผมขออย่างเดียวอย่ากำหนดสิ่งที่ผมจะพูด แกตอบว่าสุหฤทจะพูดอะไรพูดเลย พูดได้ทุกเรื่อง อย่างนี้เรารู้สึกอิสระ เวทีแรกที่ราชดำเนิน ขึ้นไปพูดเรื่องพ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วยความโกรธ อัดอั้นตันใจ หลังจากนั้นเมื่อม็อบยกระดับการชุมนุมผมก็ดร็อปไว้ เพราะผมมีจุดยืนคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเท่านั้น

"จนต่อมาเวทีอโศก เขาชวนไปพูดเรื่องโครงการรับจำนำข้าวอีก โอโห เราตอบรับเลย ชาวนาเดือดร้อนเป็นล้าน กูจะอยู่บ้านอยู่แล้ว ชวนกูออกมาทำไม แล้วชวนอยู่เรื่อยๆด้วยนะ ถามว่าใครชวน ก็รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไงที่ชวนผมออกมา ไม่ใช่โทรมาชวนนะ แต่ความชั่วของเขาดึงผมออกไป

"ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีจะเตรียมสคริปต์ไป แต่ก็ฉีกทิ้งบนเวทีนั่นแหละ พูดด้วยหัวใจดีกว่า just pure heart ผมอยากขึ้นไปพูดสิ่งที่เป็นสาระ กระตุ้นให้คิด มีประโยชน์ จะรู้สึกอยากขึ้น แต่ถ้าขึ้นไปด่า มีคนด่าเยอะแล้ว ถ้ามีข้อมูลอะไรใหม่ หรือมีอะไรที่สามารถทำเพื่อกระตุ้นได้ ผมยินดีจะขึ้นไปพูดอีก"

สุหฤท สยามวาลา"ปฏิรูปเริ่มต้นที่นักการเมือง"

สุหฤทพูดถึงแกนนำกปปส. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า แม้ภาพลักษณ์ในอดีตที่ผ่านมาจะเป็นเช่นไรแต่ถึงวันนี้ทุกคนคงตัดสินใจได้แล้วว่าจะเชื่อนักการเมืองคนนี้หรือไม่

"ผมไม่ได้เป็นคนที่เอาอดีตมาครอบงำในสิ่งที่เขาทำในวันนี้ อย่างตัวผมเอง ถ้าเป็นคนเอาอดีตมาครอบมาก  ก็จะมองว่าไอ้ดีเจที่ชอบถอดเสื้อบนเวทีนี่เหรอจะมาเป็นผู้ว่ากทม. มันเป็นความรู้สึกเดียวกัน ถ้าจะบอกว่าไอ้นี่ทุจริตเป็นคนดีไม่ได้ อดีตเขาเป็นยังไง วันนี้เราต้องดูว่าเขาเป็นยังไง คนมันเปลี่ยนได้ ผมไม่โกรธอะไรที่คุณสุเทพทำวันนี้เลย แรกๆไม่ไว้ใจ แต่พอได้คุยกับกับใครหลายคนในแวดวงการเมือง เราเห็นสิ่งที่เขาทำ แน่นอนมีการมุ่งหวังอยากจะเปลี่ยนประเทศ วันนี้ผมคิดว่าโอเค บางครั้งไม่ได้คิดว่าเขาเป็นนักการเมืองแล้วด้วยซ้ำ"

ในฐานะประชาชนชาวไทย สุหฤทย้ำหนักแน่นว่าจะต้องไม่ให้มีศพต่อไปอีก สงครามกลางเมืองจะต้องหยุดด้วยการเจรจา

"เห็นข่าวเด็กโดนระเบิดแล้วน้ำตาจะไหล พาลูกไป แต่กลับบ้านไม่มีลูก กูเลี้ยงลูกของกูมา อยากเห็นเขามีอนาคตบนแผ่นดินที่เขาจะหากินได้ เติบโตได้ ทำไมมาจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น ลูกทั้งคนนะโว้ย เพื่ออำนาจใครวะ ที่ทุเรศมากๆคือมีบางคนบอกสมควรแล้ว มึงเสือกพาเด็กไปที่นั่นทำไม โถ มึงอ่านรึยัง เขาไปม็อบหรือเปล่า แล้วการไปม็อบมันสมควรตายไหม เสือกไปสมน้ำหน้าเขาอีก แถมยังมีหน้ามาบอกว่าต้องมีคนตายบ้างเพื่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ลูกมึงหว่า

"วันนึงถ้านักการเมืองไม่ตัดสินใจคุยกัน ปัญหาการเมืองจะกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจ และมันจะเป็นปัญหาปากท้อง ยามที่เป็นปัญหาปากท้อง ปัญหามันจะรุนแรงกว่านี้เยอะ ผมเห็นด้วยกับการเจรจา ถ้าไม่เจรจาด้วยวาจามันจะเกิดการเจรจาด้วยกำลังอย่างอื่น แม้มันเป็นการเจรจาเหมือนกันทั้งคู่ อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเจรจาในห้องประชุมดีๆหรือจะเจรจาด้วยหมัดข้างนอก เจรจาด้วยหมัดมันอาจจะเจ็บมาก ซึ่งทางออกมันอาจจะเหมือนกันก็ได้ ถ้าเจรจาแล้วสามารถอยู่ร่วมกันได้จะดีมากเลย เพราะประเทศนี้มันเป็นประเทศที่ดี มันเสียดายถ้าทุกอย่างมันค่อยๆร้าวและพังลง

"ผมเคยเป็นห่วงเรื่องของสงครามกลางเมืองมากนะ เคยคิดช็อตขนาดว่าเวลาเกิดสงคราม รถจี๊ปยูเอ็นวิ่งเพ่นพ่าน ชีวิตกูต้องไปต่อคิวขอข้าวหรือเปล่าวะ ถ้าทำไม่ดี เราก็ไปถึงตรงนั้นแหละครับ นึกดูแล้วกันซากปรักหักพังบนถนนสีลมที่แม่งมีแต่ปืน เหมือนอิรัก ซีเรีย"

สำหรับแนวคิดเรื่องการปฏิรูปประเทศ สุหฤทบอกชัดเจนว่าถ้านักการเมืองทำตัวดี บางทีการปฏิรูปก็ไม่จำเป็น

"ทำไมต้องปฏิรูป? ผมยังงงเลยว่าวันนี้ทำไมต้องปฏิรูป ก็นักการเมือง แค่พวกมึงเป็นคนดีเท่านั้นแหละ พูดตรงๆนะ จะปฏิรูปทำไม ถ้าพวกคุณกำลังทำดีอยู่ กฏหมายบ้าอะไรที่มัดมือมัดแขนให้พวกคุณเป็นคนเลววะ เราเรียกร้องหาการปฏิรูปเพราะอะไร ถ้าคุณเป็นคนดี บริหารบ้านเมืองดี นักการเมืองควรปฏิรูปตัวเอง ปฏิรูปพรรคคุณดีกว่าว่าอย่าทำอะไรที่โกงที่ชั่วกับประชาชนอีก สร้างความสมานสามัคคีให้เกิดในหมู่ประชาชน สลายสี มุ่งหน้าทำให้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ปรบมือ ถามว่าแล้วถ้าเป็นอย่างนั้นได้ยังจะต้องการปฏิรูปอยู่อีกไหม?"

ทั้งหมดคือทรรศนะที่มีต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ของประชาชนชาวไทยคนหนึ่งที่ชื่อสุหฤท สยามวาลา

ข่าวล่าสุด

เวทีไทย–จีนเปิดเกมลงทุนใหม่ ดัน Industrial Park เชื่อมซัพพลายเชนโลก