posttoday

การแก้เรื่องข้าวและชาวนา (ตอนจบ)

28 กุมภาพันธ์ 2557

ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการแก้ปัญหาเรื่องข้าวและชาวนา ซึ่งเป็นการแก้จากบริบทภายในของชุมชนชาวนา ในตอนนี้จึงขอขยายการวิเคราะห์ออกไปสู่บริบทที่กว้างขึ้น และเป็นส่วนสำคัญของปัจจัยที่กระทบต่อวิถีชีวิตชาวนามากกว่าบริบทภายในของตนเองเสียด้วยซ้ำ

ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการแก้ปัญหาเรื่องข้าวและชาวนา ซึ่งเป็นการแก้จากบริบทภายในของชุมชนชาวนา ในตอนนี้จึงขอขยายการวิเคราะห์ออกไปสู่บริบทที่กว้างขึ้น และเป็นส่วนสำคัญของปัจจัยที่กระทบต่อวิถีชีวิตชาวนามากกว่าบริบทภายในของตนเองเสียด้วยซ้ำ

โครงการจำนำข้าว รูปธรรมของโครงการทุนนิยมสามานย์

ใคร่ขอเรียนต่อผู้อ่านว่า ผู้เขียนเห็นด้วยกับประชานิยมของแท้ แต่รังเกียจประชานิยมสามานย์ เห็นด้วยกับโครงการต่างๆ ที่ต้องการช่วยเหลือคนยากคนจนอย่างแท้จริง แต่รังเกียจการอ้างคนจนเพื่อหวังผลต่อตัวเอง รังเกียจการอ้างคนส่วนใหญ่ แต่ผลได้ส่วนใหญ่ตกแก่คนส่วนน้อย

โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลทุนสามานย์ได้ออกแบบกระบวนงานให้เกิดโอกาสในการแสวงหาประโยชน์ของคนส่วนน้อยหลายขั้นตอน ซึ่งสามารถอธิบายให้เห็นได้ ดังต่อไปนี้

โฆษณาชวนเชื่อว่าทำได้ ชาวนาจะมีรายได้ดี มีกำไร ปลุกปั่นอารมณ์คนบางกลุ่ม ใช้สัตว์เลี้ยงออนไลน์ด่าทอต่อว่าผู้คัดค้าน ดื้อด้านดันทุรังประกาศเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ทั้งที่ขั้นตอนแรกที่นำข้าวเข้าโรงสีก็ไม่เป็นไปตามที่ประกาศ นอกจากนี้ราคาข้าวที่ขยับขึ้นไป ราคารับจำนำที่ประกาศไว้สูงลิบนั้น รายได้จริงที่ชาวนาได้รับเพิ่มขึ้นทันกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

กำหนดขั้นตอนการจำนำไว้หลายขั้นตอน ตั้งแต่ไปแจ้งรายงานตัวว่าเป็นชาวนาต่อเกษตรอำเภอ ไปแจ้งโรงสีว่าจะจำนำข้าว ขนข้าวไปโรงสี รับใบประทวน นำใบประทวนไปให้ ธ.ก.ส.เพื่อเบิกเงิน ไปรับเงินจาก ธ.ก.ส. ตรวจสอบสถานะความเป็นหนี้ ถูกหักหนี้โดย ธ.ก.ส. ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีโอกาสเป็นช่องโหว่การทุจริตคอร์รัปชั่น

การรับจำนำไม่จำกัด ขั้นตอนนี้เปิดโอกาสให้มีการสวมสิทธิชาวนาปี ส่วนใหญ่เป็นชาวนาจน ได้ข้าวน้อยเหลือขายน้อย ข้าวที่นำไปจำนำจึงน้อย ส่วนชาวนาปรังทำนาได้ปีละ 2-3 ครั้งได้ข้าวมาก จึงนำไปเข้าโครงการจำนำได้มากตามตัวเลขของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ผลผลิตข้าวนาปรังในปี 2555 (เก็บเกี่ยวต้นปีและกลางปี) มีทั้งหมดประมาณ 11 ล้านตัน แต่ปรากฏว่าตัวเลขการรับจำนำของรัฐบาลมีทั้งหมด 14.69 ล้านตัน คำถามก็คือ 3.69 ล้านตันมาจากไหน และนี่คือที่มาของข้อสงสัยว่าข้าว 3.69 ล้านตันนี้ มาจากประเทศเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ นำเข้ามาในราคาเกวียนละ 5,000-7,000 บาท แล้วมาจำนำในราคาเกวียนละ 11.1 หมื่นบาท ได้กำไรเป็นเนื้อเป็นหนังกันทั่วหน้าแล้ว

แล้วใครล่ะ? ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ถ้าไม่ใช่พวกที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ

แสดงให้เห็นว่า “ความสามานย์” อยู่ที่การออกแบบ “กระบวนงาน” เพื่อเปิดโอกาสให้แสวงหาประโยชน์ได้ง่าย แต่รัฐบาลจะไม่พูดถึง “เจตนาแฝงเร้น” ที่ออกแบบกระบวนงานเช่นนี้ แต่จะไปใช้วาทกรรมการเมืองกลบเกลื่อนว่า ผิดตรงไหนที่โครงการจำนำข้าวทำเพื่อชาวนาคนส่วนใหญ่ของชาติ ชาวนาทุกคนได้ประโยชน์ มีแต่พ่อค้าส่งออกเท่านั้นที่เสียประโยชน์ เพราะหมดโอกาสจะเอาเปรียบชาวนา วาทกรรมเช่นนี้ทางการเมืองเรียกว่า “เกาะหลังชาวนาหากินจากราคาจำนำ” มันคือ ความสามานย์

ปฏิรูปชาวนาต้องปฏิรูปอำนาจรัฐดังกล่าวแล้ว ชาวนาแม้จะมีจำนวนลดลง แต่ยังคงเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ รัฐบาลทุนสามานย์อาศัยความอ่อนด้อยทางข้อมูล ทางอำนาจเศรษฐกิจชาวนา สร้างประชานิยมจำนำข้าว เกาะหลังชาวนา ผันงบประมาณปีละ 45 แสนล้านไปทำโครงการ แบ่งปันส่วนน้อยให้ชาวนา เงินส่วนใหญ่ไปจัดสรรแบ่งปันกันในกลุ่มทุนและบริวารต่างๆ โดยผ่านกระบวนการและขั้นตอนของการจำนำข้าว

นี่เป็นไปตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองของเลนินที่ว่า รัฐคือเครื่องมือของกลุ่มคนและชนชั้นที่ยึดครองอำนาจรัฐ เมื่ออำนาจรัฐอยู่ในมือของกลุ่มทุนสามานย์ มันก็ถูกใช้เพื่ออำนาจและความมั่งคั่งของทุนสามานย์ ประชาชนที่ไม่เท่าทันการอ่อยเหยื่อเพียงเล็กน้อย ต่างก็กรูกันเข้ามารับเหยื่อ ก็เหมือนฝูงปลาที่เข้ามาฮุบเหยื่อติดเบ็ด ติดไซ ติดลอบ ของผู้อ่อยเหยื่อนั่นเอง

การปฏิรูปชาวนาและราคาข้าว จึงต้องกลับไปพิจารณาข้อเสนอการแก้ปัญหาข้าวและชาวนาที่กล่าวไว้ในตอนที่แล้ว ซึ่งต้องปฏิรูปอำนาจรัฐ ให้รัฐบาลมีจริยธรรม มีประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่รัฐบาลที่ได้อำนาจรัฐโดยการทุ่มทุน ซื้อเสียง ซื้อตัว สส. ซื้อพรรค ฯลฯ ทำให้ สส.เป็นเพียงลูกจ้างของพรรค โดยการจ่ายเงินเดือนให้เดือนละ 3 แสนบาท แล้วนำเงินไปซื้อเสียงล่วงหน้า ไปแจกเงินงานศพ งานบวช งานแต่งงาน และงานอื่นๆ

เงินมากมายที่นำไปใช้ทำการเหล่านี้ก็มาจากการสร้างโครงการแล้วกำหนดกระบวนการและขั้นตอนให้เอื้อต่อการคอร์รัปชั่น เพื่อการถอนทุนคืน นี่คือกระบวนการใช้เงินซื้อคน ใช้คนสร้างอำนาจของพรรค ใช้พรรคยึดครองอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐไปสร้างทุนสร้างเงินต่อไปอีก

ดังนั้น นับหนึ่งของการปฏิรูปสังคมไทย คือ การปฏิรูปอำนาจรัฐ ต้องขจัดทุนสามานย์ออกจากอำนาจรัฐ สร้างรัฐปวงชนที่มีดุลยภาพของทุกกลุ่มคนและชนชั้น อำนาจรัฐไม่ได้มาจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มคนมีส่วนร่วมในอำนาจรัฐ ตรวจสอบอำนาจรัฐได้โดยง่าย แต่การเลือกตั้งจะต้องกำหนดโทษการทุจริตการเลือกตั้งทุกรูปแบบ ผู้ทุจริตจะถูกตัดสิทธิตลอดชีวิต และต้องติดคุกไม่น้อยกว่า 5 ปี

การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของไทยจะต้องเน้นไปแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งเห็นได้จาก 5 มิติ คือ รายได้และทรัพยากร สิทธิ โอกาส อำนาจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แกนกลางของความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำ 5 มิตินี้ คือ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่สมดุล

กล่าวคือ อำนาจรัฐ อำนาจทุน และอำนาจของปวงชน เป็น 3 อำนาจหลักของสังคม อำนาจรัฐเป็นอำนาจสูงสุด จึงควรเป็นของปวงชนหรือเป็นของทุกกลุ่มคนและชนชั้น เพราะมันเป็นเครื่องมือที่มีมหิทธานุภาพ ในการกำหนดการจัดสรร การแบ่งปัน การแข่งขัน และการช่วงชิงผลประโยชน์ของคนในสังคม การที่อำนาจรัฐไปอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และปิดโอกาสคนกลุ่มอื่นๆ เพราะคนอื่นๆ มีพลังด้อยกว่า ก็จะนำไปสู่ความไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำใน 5 มิติดังกล่าว แม้แต่กระบวนการยุติธรรมเองก็จะถูกอำนาจรัฐกดดันเปลี่ยนแปลงได้

ดังนั้น หลักการปฏิรูปตามแนวเศรษฐศาสตร์การเมือง คือ การปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ให้เกิดความสมดุลทางอำนาจ คือ อำนาจรัฐ อำนาจทุน อำนาจของปวงชน โดยเฉพาะอำนาจทุนจะต้องกำจัดทุนสามานย์และส่งเสริมทุนมีคุณค่า (Decent Capital) คือ โปร่งใส ประชาธิปไตย เป็นธรรม และสมดุล ซึ่งเป็นลักษณะตรงข้ามกับทุนสามานย์ ที่ไม่โปร่งใส ไม่ประชาธิปไตย ไม่เป็นธรรม และไม่สมดุล และการนับหนึ่งของการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ก็คือ การเพิ่มอำนาจของภาคประชาชน การถ่วงดุลอำนาจรัฐด้วยพลังของประชาชน ถ่วงดุลอำนาจทุนโดยเฉพาะทุนสามานย์ด้วยพลังของประชาชน

สังคมไทยกำลังเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2556 เป็นต้นมา ได้ทำให้เกิดมวลมหาประชาชนถ่วงดุลกับอำนาจรัฐทุนสามานย์ เพื่อก้าวไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบต่อไป ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ให้ได้ คือ กฎเกณฑ์กติกาใหม่ของการเลือกตั้งที่ให้การเลือกตั้งสุจริต ลงโทษคนทุจริต

แม้จะมีความยากลำบากเกี่ยวกับมาตรฐานคุณค่า (Value Standard) ของคนในสังคม ที่คนกลุ่มหนึ่งคิดแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า และเห็นการทุจริตในการออกเสียงในสภา ปลอมเอกสารร่างรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนผิดที่ควรถูกลงโทษ เป็นเรื่องเล็กน้อย และเห็นการทุจริตการเลือกตั้งเป็นเรื่องธรรมดาของวิธีการเอาชนะ

ขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งเห็นเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง เป็นภัยต่อบ้านเมือง จึงต้องแก้ไข ต้องปฏิรูป ความแตกต่างของมาตรฐานคุณค่า เป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ของการปฏิรูป เพราะคนจำนวนหนึ่งยังยอมรับมาตรฐานคุณค่าของทุนสามานย์ ยอมรับการทุจริต ยอมรับความไม่โปร่งใส ขอเพียงให้ตนได้ประโยชน์ด้วย แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม โดยไม่คิดถึงผลเลวร้ายที่จะตามมาในอนาคต

กระนั้นการปฏิรูปเพื่อล้างความสามานย์ต้องเดินหน้าต่อไป การรวมพลังถ่วงดุลอำนาจรัฐและอำนาจทุนสามานย์จะต้องดำเนินไป ถ้าไม่นับหนึ่งเสียแต่วันนี้ก็ไม่สามารถนับ 234 ต่อไปได้

ข่าวล่าสุด

เวทีไทย–จีนเปิดเกมลงทุนใหม่ ดัน Industrial Park เชื่อมซัพพลายเชนโลก