อกุศลวิตกและกุศลธรรม (ตอนที่ 1)
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นอิงหลักธรรมะ ท่านสามารถส่งคำถามหรือข้อติชม ทาง Email มาได้ที่ [email protected]
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นอิงหลักธรรมะ ท่านสามารถส่งคำถามหรือข้อติชม ทาง Email มาได้ที่ [email protected]
ในขณะที่สังคมของเรามีเรื่องมากมายที่อาจทำให้หลายคนเกิดสิ่งที่เรียกว่า “อกุศลวิตก” ขึ้นในใจได้ MQ จึงขอนำเอาเรื่องของ “พระเมฆิยะ” พระเถระในสมัยพุทธกาล ผู้เคยเป็นอุปัฏฐานรูปหนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า (ก่อนพระพุทธองค์จะทรงมีท่านพระอานนท์เป็นอุปัฏฐากประจำ ทรงมีพระภิกษุอุปัฏฐากไม่ประจำหลายรูป เช่น พระนาคสมาละ พระนาคิตะ พระอุปวาณะ พระสุนักขัตตะ และพระเมฆิยะ เป็นต้น) เรื่องนี้แสดงมาจากพระสูตรและอรรถกถา เมฆิยสูตร ซึ่งกล่าวถึง อกุศลวิตก 3 ประการ และ กุศลธรรมอีก 9 ประการ (แบ่งเป็นสองส่วน คือ ธรรม 5 และธรรม 4 ประการ ซึ่งจะได้นำมากล่าวต่อๆ ไป)
เรื่องของท่านพระเมฆิยะมีว่า เมื่อครั้งที่พระเถระอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ จาริกบรรพต ใกล้เมืองจาลิกา พระเถระได้เข้าไปบิณฑบาตในเมือง เมื่อกลับมาฉันภัตตาหารแล้ว ได้เข้าไปยังฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา (ได้ชื่อนี้เพราะมีแมลงสีดำมาก) ซึ่งมีป่ามะม่วง เป็นสถานที่มีความน่ารื่นรมย์ ท่านพระเมฆิยะเกิดความคิดว่า ที่นี่เป็นที่ที่ท่านสมควรบำเพ็ญเพียร จึงได้เข้าไปทูลขอพระพุทธองค์ ว่าจะขออนุญาตเข้าไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่ามะม่วงนั้น ด้วยท่านยังเป็นภิกษุปุถุชน ปรารถนาจะบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะให้ได้บรรลุมรรคผล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสให้รอก่อน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนเมฆิยะ จงรอก่อน เราจะอยู่แต่ผู้เดียวจนกว่าภิกษุรูปอื่นจะมา” ที่ตรัสเช่นนั้นเพราะพระองค์ทรงพิจารณาแล้ว ทราบว่า ญาณ (ปัญญา) ของท่านพระเมฆิยะยังไม่แก่กล้า แต่พระเถระก็ได้ขอถึง 3 ครั้ง จึงทรงตรัสว่า “ดูก่อนเมฆิยะ เราพึงกล่าวอะไรกะเธอผู้กล่าวอยู่ว่า บำเพ็ญเพียร ดูก่อนเมฆิยะ เธอจงสำคัญเวลาอันสมควร ณ บัดนี้” ท่านพระเมฆิยะจึงถวายบังคม พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เข้าไปยังป่ามะม่วงแห่งนั้น
เมื่อเข้าไปในป่ามะม่วงใกล้แม่น้ำกิมิกาฬาแล้ว พระเถระได้นั่งพักกลางวันที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ครั้งนั้น เมื่อท่านพักในสวนมะม่วงนั้น อกุศลวิตก 3 ประการ คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ได้เกิดในจิตของท่าน ย่อมฟุ้งซ่านโดยมาก จนท่านพระเมฆิยะเองเกิดความประหลาดใจว่า น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาหนอ เราออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา (และตั้งใจมาที่สวนมะม่วงนี้เพื่อเร่งบำเพ็ญเพียร) แต่กลับถูกอกุศลวิตกอันลามก (หมายถึง ชั่ว หรือไม่ดี) 3 ประการ คือ กามวิตก (ตรึกถึงกาม เกิดความพอใจ ติดใจ ใน สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น) พยาบาทวิตก (ตรึกถึงความผูกโกรธ) และวิหิงสาวิตก (ตรึกถึงความปรารถนาที่จะเบียดเบียนทำร้าย) เข้าครอบงำแล้ว เมื่อถึงเวลาเย็นพระเถระจึงออกจากที่เร้นกลับไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลให้ทรงทราบ
ความเป็นอย่างไรจะค่อยนำมากล่าวต่อไป แต่ขอนำเอาคำอธิบายจากอรรถกถาถึง เหตุที่ท่านพระเถระผู้บวชมาด้วยศรัทธาและตั้งใจจะเข้าไปหาที่บำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุมรรคผลแต่เหตุไรจึงเกิด อกุศลวิตก (ความคิดความตรึก ที่เป็นไปในทางฝ่ายบาปอกุศล) 3 ประการขึ้น
อรรถกถาอธิบายไว้ว่า ในที่นั้นพระเถระเคยเกิดเป็นพระราชา 500 ชาติ และเมื่อได้ไปนั่งบนแผ่นศิลา ซึ่งก็เคยเป็นที่ประทับเมื่อครั้งตนเกิดเป็นพระราชา ทรงกรีฑาในพระราชอุทยานนี้ นั่งแวดล้อมด้วยนักฟ้อนต่างๆ ครั้นท่านพระเมฆิยะนั่งลงแล้ว เป็นเหมือนภาวะแห่งสมณะหายไป เกิดรู้สึกเป็นเหมือนกลายเพศเป็นพระราชาห้อมล้อมด้วยบริวารสมบัตินั้น กามวิตก ก็เกิดขึ้น
ส่วนพยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตกนั้น เกิดขึ้นด้วยขณะนั้นเองท่านได้เห็น เหมือนโจร 2 คน ถูกจับพร้อมด้วยของกลาง เขานำมายืนอยู่ตรงหน้า
ในโจร 2 คนนั้น พยาบาทวิตก เกิดขึ้นด้วยอำนาจการสั่งให้ฆ่าโจรคนหนึ่ง
วิหิงสาวิตก เกิดขึ้นด้วยอำนาจการสั่งให้จองจำโจรคนหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพระเถระจึงเป็นผู้แวดล้อมด้วยอกุศลวิตก เหมือนต้นไม้ถูกล้อมด้วยเชิงเถาวัลย์ เหมือนรวงผึ้งแวดล้อมด้วยตัวผึ้ง ฉะนั้น เมื่อพระเถระเกิดจิตเช่นนั้น เกลื่อนกล่นไปด้วยมิจฉาวิตกอย่างนี้ แม้อยู่เร้นเพียงผู้เดียวแต่จิตย่อมฟุ้งซ่านโดยมาก ทั้งไม่สามารถทำกรรมฐานให้เจริญได้ ท่านจึงกำหนดว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นกาลไกล ได้เห็นเหตุน่าอัศจรรย์ (คือการเกิดขึ้นของอกุศลวิตกทั้ง 3) นี้หนอ จึงทรงตรัสห้าม จึงคิดว่าเราจะกลับไปกราบทูลพระพุทธองค์
เมื่อกลับมาเฝ้าพระทศพลจึงตรัสว่า “ดูก่อนเมฆิยะ ธรรม 5 ประการย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ (แปลว่า ความหลุดพ้นทางจิต) ที่ยังไม่แก่กล้า” ธรรม 5 ประการคืออะไร ก็ขอนำไปคุยกันครั้งหน้า ก่อนจบขอนำ บทคาถา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทานในพระสูตรนี้ว่า
“วิตกอันเลวทราม วิตกอันละเอียด เป็นไปแล้ว ทำใจให้ฟุ้งซ่าน
บุคคลผู้มีจิตหมุนไปแล้ว ไม่ทราบวิตกแห่งใจเหล่านี้
ย่อมแล่นไปสู่ภพน้อย และภพใหญ่
ส่วนบุคคลผู้มีความเพียร มีสติ
ทราบวิตกแห่งใจเหล่านี้แล้ว ย่อมปิดกั้นเสีย
พระอริยสาวกผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมละได้เด็ดขาด
ไม่มีส่วนเหลือ ซึ่งวิตกเหล่านี้ที่เป็นไปแล้วทำใจให้ฟุ้งซ่าน”


