posttoday

14ล้านเสียงเลือกใคร?

06 กุมภาพันธ์ 2557

หากคะแนนกระจายให้พรรคอื่นเหมือนปี 2554 พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนรวม 11-12 ล้านคะแนนเท่านั้น

โดย...ทีมข่าวการเมือง

คะแนนเลือกตั้งที่ถูกนำเสนอโดย ภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นับว่าน่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะสัดส่วนผู้ที่ลงคะแนน “โหวตโน” ที่มีมากกว่า 3,335,334 ใบ และบัตรเสียมากกว่า 2,425,673 ใบ หากคิดรวมๆ แล้วทั้งสองส่วนจะมีประมาณ 5.7 ล้านใบ คงเหลือเป็นคะแนนให้พรรคการเมืองเพียง 14.3 ล้านคะแนนเท่านั้น

แม้จะมีจำนวนผู้ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ เนื่องจากหน่วยเลือกตั้งถูกปิดอีกกว่า 12 ล้านคน แต่ตัวเลขผู้ที่ลงคะแนน “เลือกพรรค” ก็น่าสังเกตอย่างมาก เพราะเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. 2554 แล้ว ครั้งนั้นพรรคเพื่อไทยได้คะแนนทั้งหมด 15.7 ล้านคะแนน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 11.4 ล้านคะแนน พรรคภูมิใจไทยได้ 1.2 ล้านคะแนน ขณะที่พรรครักประเทศไทยได้ 9.9 แสนคะแนน พรรคชาติไทยพัฒนาได้ 9 แสนคะแนน พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินได้ 4.9 แสนคะแนน และพรรคอื่นๆ อีกรวมแล้วประมาณ 1 ล้านคะแนน

หมายความว่า 14.3 ล้านคะแนนที่ลงให้พรรคการเมืองนั้น ไม่ได้ลงให้พรรคเพื่อไทยอย่างเดียวแน่นอน เพราะย่อมถูกกระจายไปยังพรรคอื่นที่ลงเลือกตั้งด้วย หากคะแนนกระจายเป็นสัดส่วนให้พรรคอื่นในลักษณะเดิมเหมือนเมื่อปี 2554 พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนรวม 11-12 ล้านคะแนนเท่านั้น

คำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบ ณ เวลานี้ เนื่องจาก กกต.ยังต้องรวบรวมคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า รวมถึงหน่วยอื่นๆ ที่ถูกปิด ก่อนจะประกาศคะแนนพร้อมกันทั้งหมด นั่นก็คือ พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงมากขึ้นหรือน้อยลง และพรรคอื่นๆ แย่งคะแนนเสียงจากพรรคเพื่อไทยได้มากน้อยเพียงใด

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เจ้าของคะแนนเสียงกว่า 1 ล้านคะแนน เมื่อปี 2554 ยอมรับว่าไม่สามารถคาดคะเนได้จริงๆ ว่ามีผู้ลงคะแนนเลือกพรรครักประเทศไทยมากน้อยเท่าไร แต่ตั้งข้อสังเกตว่าคงไม่มากถึงขั้นได้ 1 ล้านคะแนน เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เนื่องจากไม่ได้หาเสียง ไม่ได้ประกาศนโยบาย รวมถึงไม่ได้สัมผัสประชาชนเหมือนครั้งที่แล้ว ขณะเดียวกัน คนที่มาเลือกตั้งเองก็น้อยกว่าเดิมถึง 30% เพราะฉะนั้นการได้คะแนนเสียงเท่าเดิมจึงเป็นไปได้ยากมาก

“ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ได้คะแนนน้อยลงไปมาก ซึ่งน่าเสียดายที่ครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ลงเลือกตั้ง หากเขาลงเขาก็คงได้เยอะกว่าเดิมและมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ”ชูวิทย์ ตอบคำถามสั้นๆ

ขณะที่ สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในฐานะเจ้าพ่อสวนดุสิตโพล กล่าวว่า ขณะนี้ยังประเมินได้ยากมาก ว่า พรรคอันดับ 1 จะได้คะแนนเสียงมากขึ้นหรือน้อยลงเท่าไร เนื่องจากสถานการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา เพราะคนไม่มั่นใจในการออกไปเลือกตั้ง ไม่ว่าจะด้วยประเด็นที่ถูกขู่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะโมฆะหรือไม่ และประเด็นความกลัวความรุนแรง ทำให้ตัวเลขขณะนี้ไม่ได้ชี้วัดอะไร

“ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างตีความตัวเลขเข้าข้างตัวเองทั้งหมด ทั้งจำนวนคนที่ออกไปเลือกตั้งหรือจำนวนโหวตโน หรือจำนวนบัตรเสีย แต่ที่เห็นได้ชัดคือ โหวตโนและบัตรเสียนั้นค่อนข้างสูง ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร เนื่องจากอาจเป็นได้ทั้งการเบื่อการเมือง หรืออยากเขียนระบายความในใจลงไปในบัตรจนทำให้เกิดบัตรเสีย ซึ่งทั้งสองอย่างก็ถือว่าเป็นข้อดี เพราะอย่างน้อยคนทั้งสองกลุ่มยังแสดงออกด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง”สุขุม ระบุ

เขาบอกอีกว่า หลังจากนี้สวนดุสิตโพลต้องทำหน้าที่ค้นหาต่อไปว่า เหตุที่คนไม่ออกไปใช้สิทธิด้วยการเลือกอยู่บ้านเฉยๆ นั้นมาจากการที่สนับสนุน กปปส. หรือเบื่อการเมืองและห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะจำนวนคนที่ใช้สิทธิน้อยลงนั้น ทำให้พัฒนาการประชาธิปไตยที่ถูกสร้างขึ้นมานานกว่า 80 ปี ต้องถอยหลังลงไป เนื่องจากคนมีส่วนร่วมกับการเมืองน้อยลง ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. แถลงว่า สถิติผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา มีผู้สิทธิทั้งหมด 43 ล้านคน แต่มาใช้สิทธิ 20.1 ล้านคน หรือ 46% โดยมีบัตรดี 14.1 ล้านใบ เสีย 2.4 ล้านใบ และมีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3.3 ล้านคน และจากข้อมูลทั้งหมดสรุปได้ว่า

1.จำนวนบัตรดี 33% คิดเป็น 1 ใน 3 เท่านั้น อีก 2 ส่วน เห็นได้ชัดว่าประชาชนเห็นด้วยกับแนวทาง กปปส.ที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองฉ้อฉลกลับเข้ามาอีก

2.ถ้าเปรียบจำนวนผู้มาใช้สิทธิปี 2554 มีประชาชนถึง 35 ล้านคน แต่วันที่ 2 ก.พ. ประชาชนมาใช้สิทธิเพียง 20 ล้านคน ฉะนั้น แสดงว่าประชาชน 15 ล้านคน ที่เคยไปใช้สิทธิไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และ 15 ล้านคนนี้ ถือเป็นตัวเลขมีนัยสำคัญมากกว่า 14 ล้านเสียง ลงคะแนนให้พรรคการเมือง และหากนำ 15 ล้านคน บวกกับ 3.3 ล้านคน ก็ประมาณ 18 ล้านคน เท่ากับมากกว่าผู้มาลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง

3.บัตรเสียมากกว่าปกติปี 2554 ถึง 1.7 ล้านใบ ทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วประมาณ 19 ล้านคน ที่ไม่ต้องการลงคะแนนให้พรรคการเมือง และไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. ขณะที่ กทม.มีผู้มีสิทธิลงคะแนน 4.4 ล้านคน แต่มาใช้สิทธิเพียง 7 แสนคนเท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าประชาชนต้องการให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และเท่ากับกระทบฐานเสียงพรรคเพื่อไทย

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด การท่าเรือ พบ ทรู แบงค็อก ช้าง เอฟเอ คัพ วันนี้ 21 ธ.ค.68