"บลูสกาย"แม่เหล็กมวลมหาประชาชน
บลูสกายเกิดจากคนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผมเองก็ไม่ใช่ แต่มาจากคนที่อยากเห็นทีวีนี้เกิดขึ้น
โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์/สุภชาติ เล็บนาค
ตลอด 3 เดือนที่ปรากฏการณ์ “มวลมหาประชาชน” ถือกำเนิดและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฝีมือของผู้นำคนสำคัญอย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. รวมถึงทีมมันสมองที่รายล้อมสุเทพ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการชุมนุมครั้งนี้ก็คือโทรทัศน์สีฟ้า ที่ชื่อว่า “บลูสกายทีวี” ซึ่งทำหน้าที่เกาะติดทุกความเคลื่อนไหวของทัพหลวง-ทัพย่อย ทำให้การชุมนุมครั้งนี้มีสีสันจนทำให้หลายบ้านต้องเปิดบลูสกายทิ้งไว้ตลอด 24 ชั่วโมง
ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของ กปปส. ก็ต้องมีอย่างน้อยวันละครั้งที่เปลี่ยนช่องมาติดตามสถานีโทรทัศน์สีฟ้าแห่งนี้!
เถกิง สมทรัพย์ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์บลูสกาย เปิดออฟฟิศใจกลางเมือง ย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อเล่าให้ฟังถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบลูสกาย ในวันที่สุเทพออกเดินเรียกประชาชนมาร่วมชัตดาวน์กรุงเทพฯ และมีเถกิงเป็นแม่ทัพ คุมการถ่ายทอดสดอยู่ที่สถานี เขาบอกว่าการชุมนุมของ กปปส. ทำให้สถานีโทรทัศน์อายุ 2 ปีครึ่งแห่งนี้ ขึ้นมาเป็นท็อปทรี เทียบชั้นกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และช่อง 7 เลยทีเดียว
“ผมเริ่มคิดถึงโปรเจกต์บลูสกาย เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2554 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง 1 วัน วันรุ่งขึ้นก็อยู่บ้าน ตื่นเช้ามาก็ปิ๊งขึ้นมาว่าน่าทำโปรเจกต์บลูทีวี แล้วก็เขียนคอนเซปต์ทีวีการเมืองแห่งนี้คร่าวๆ ว่าจะเอานักการเมือง กับคนอยู่ในวงการการเมืองมาทำทีวี พร้อมกับเขียนแผนธุรกิจคร่าวๆ ใช้เวลาสัก 3 เดือนหาทุน พอ 1 พ.ย. เราก็ออกอากาศเลย”เถกิงเริ่มเล่าที่มาของบลูสกาย
เขาบอกว่า บลูสกายถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มแฟนๆ พรรคประชาธิปัตย์ ที่อยากเห็นการนำเสนอข่าวสารข้อมูลในเชิงตรวจสอบรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์ และนำเสนอข่าวสารข้อมูลในฟากฝั่งที่ทีวีรัฐบาลไม่นำเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีวีช่องอื่นไม่นำเสนอ โดยไม่เคยปวารณาตัวว่าเป็นกลาง และเป็นสื่อเลือกข้างชัดเจน
“การเกิดบลูสกายได้ทำให้แฟนสีฟ้ามีหลักยึด อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ใช้คำว่า บลูสกายเหมือนเป็น 'หลักให้หอยเกาะ' (หัวเราะ) แต่ความหมายของผมก็คือ มันทำให้พวกแฟนสีฟ้ามีศูนย์รวม จากที่ก่อนหน้านี้ พวกสีฟ้าเชื่อแต่ว่าไม่แทรกแซงสื่อ ไม่ยุ่งกับสื่อ และเชื่อว่าทุกคนมีอิสระ แต่ในโลกความจริงแล้วมันไม่ใช่ พอเราทำกันมา 3-4 เดือน ประชากรสีฟ้าชอบมาก ดูกันแบบเรตติ้งสูงตลอด กระทั่งบลูสกายเรตติ้งสูงเป็นรองแค่เอเชียอัพเดทในจานดำ และเป็นที่หนึ่งในจานส้ม ตั้งแต่ช่วงปีแรก”เถกิงบอกกับเรา
เขาบอกว่า ตอนแรกๆ พยายามบริหารภาพลักษณ์ให้ Positioning ของบลูสกายเป็นสีฟ้ามาโดยตลอด เพื่อไม่ให้คนเข้าใจผิดว่าช่องนี้คือสีอื่น เพราะฉะนั้นโทนรายการทุกรายการจะต้องเป็นสีฟ้า และนักการเมือง นักวิชาการที่เข้ามาต้องมีแนวคิดเป็นสีฟ้าทั้งหมด กระทั่งชื่อรายการก็ต้องมีคำว่าฟ้า ไม่ว่าจะเป็น ฟ้าวันใหม่ ฟ้าทะลายโจร ลิปสติกสีฟ้า รวมถึงรายการยอดฮิตอย่าง “สายล่อฟ้า”
“ผมเน้นอย่างหนึ่งคือทุกคนที่มาอยู่ช่องเราต้องเป็นคนใหม่ทั้งหมด เราจะไม่ซื้อตัวคนที่ดังอยู่แล้วจากช่องอื่นมา เราขอปั้นของเราเอง ช่วงแรกๆ ก็มีคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) มา มีดีเจจั๊ด (ธีมะ กาญจนไพริน) มาร่วม ต่อมาคุณอัญชะลี ไพรีรัก อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็มาร่วม ต่อมาสายล่อฟ้าก็ดังระเบิดเถิดเทิง เราก็บรรลุภารกิจที่ทำให้บลูสกายเป็นสถานีของแฟนสีฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ”
เมื่อถามเถกิงว่าไอเดียทีวีของประชาธิปัตย์นั้น มาจากการที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงมีทีวีอย่าง “เอเชียอัพเดท” หรือไม่ เถกิงนิ่งคิดสักพักก่อนตอบว่า หากจะมองจริงๆ ต้องย้อนไปมองถึงเอเอสทีวี ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเขายกให้เป็นทีวีที่เป็นต้นกำเนิดของการให้ความรู้ประชาชน และทำให้รัฐบาลต้องเกรงกลัวสื่อ ในยุคที่สื่อทั้งหมดยกยอปอปั้นรัฐบาล
“ผมคิดว่าเราอาจจะต่างจากเอเชียอัพเดทนิดหนึ่ง เพราะบลูสกายเกิดจากคนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผมเองก็ไม่ใช่ แต่มาจากคนที่อยากเห็นทีวีนี้เกิดขึ้น วันที่แพ้เลือกตั้ง เราคาดการณ์แล้วว่าประชาธิปัตย์จะถูกจำกัดข่าวสารแน่นอน เพราะฉะนั้นเราต้องทำสถานีขึ้นมา แต่แน่นอนพรรคยุ่งกับทีวีไม่ได้ เราก็บริหารกันมาด้วยมุมมองคนนอกพรรค วิธีทำงาน เราก็ทำแบบสื่อมืออาชีพ แม้จะเป็นสื่อเลือกข้าง แต่การบริหารจัดการภายในพยายามยึดหลักใช้ความรู้ความสามารถคนทำงานสื่อมา เพราะฉะนั้นนี่คือส่วนผสมที่ทำให้เราไม่ได้อิงกับการเมืองเต็มที่ และทำให้เรายืนอยู่ได้วันนี้”เถกิงตอบคำถาม
เถกิงย้ำอีกครั้งว่า จนถึงวันนี้บลูสกายมีเรตติ้งติดอันดับ 3 จากช่องทีวีทั้งหมด เป็นรองเพียงแค่ช่อง 3 และช่อง 7 ในทุกจานดาวเทียม โดยคิดเป็นตัวเลขกลมๆ แล้วช่วงพีกสดของทุกวันน่าจะมีคนดูไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งน่าสนใจว่าฐานของบลูสกายสามารถแย่งเอเชียอัพเดทมาได้ และที่น่าตื่นเต้นกว่าคืออาจมีหลายคนที่เคยดูเอเชียอัพเดทเปลี่ยนมาดูบลูสกาย แม้กระทั่งพื้นที่ที่ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างภาคอีสานหรือภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม เถกิงเองก็ไม่กล้าการันตีว่า ที่เปลี่ยนมาดูบลูสกายนั้นเพราะย้ายข้าง หรือเพราะสนใจใคร่รู้ว่ามีเนื้อหาอะไรบ้างที่ถูกนำเสนอในบลูสกายเท่านั้น
“ใครที่ว่าคนอีสานไม่เข้าใจการเมืองนี่เขาคิดผิดนะ ผมเองเป็นคนอีสาน ผมสัมผัสได้ว่าเขาเก่ง เขาเข้าใจการเมืองดี บลูสกายเองถือเป็นอีกทางเลือกซึ่งทำให้คนที่ชอบการเมืองแบบสีฟ้า มีแหล่งข้อมูลที่ดูได้ ดูเยอะ วันนี้สถิติออกมาชัดว่าพวกเขาดูเยอะขึ้น แต่จะสัมผัสกับเรื่องการเมืองหรือไม่ หรือดูแล้วเขาเลือกเราหรือไม่ นี่คนละประเด็น แต่อย่างน้อยสุดเราได้ทำหน้าที่คือมีอีกช่องทางให้เลือกชม เป็นทีวีที่ปิดจุดอ่อนเรื่องการเลือกข้าง” เถกิงแสดงความคิดเห็น
“ฝรั่งมันเลยไม่เข้าใจว่าทำไมมีทีวีเลือกข้าง แต่เราก็จะบอกว่าคนไทยมีสิทธิเลือก คุณจะดูสีอะไร สีไหน แล้วรัฐบาล หรือ กสทช.ก็ต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้มีช่องทางตัวเอง เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ชม หน้าที่ของเราก็คือให้ข้อมูลข่าวสารอย่างดีที่สุด หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของประชาชนในการตัดสินใจ ในเมื่อเรานำเสนอข่าวสารข้อมูลครบถ้วนแล้ว มีคนมาดูเพิ่มก็ถือเป็นรางวัล ถ้าเขาไม่เชื่อก็ไปตำหนิเขาไม่ได้ เขาอาจจะมีข้อมูล เหตุผลอีกชุดหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องเคารพ”
ถามถึงเคล็ดลับการทำสื่อเลือกข้างให้มีคนดูเหนียวแน่น เถกิงยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เลือกข้างแล้วจะมีคนดูเสมอ หากรายการไม่ดี ไม่กลมกล่อม และที่สำคัญที่สุดคือ หากหยาบคาย ลามก ช่องนั้นก็ประสบความสำเร็จได้ยาก
“เราขอร้องผู้ดำเนินรายการทุกคนว่าสนุกได้ เสียดสีได้ แต่อย่าหยาบคาย ใครหยาบคายผมก็ขอเปลี่ยนทันที เพราะประสบการณ์ผม คุณหยาบคาย คุณเสียลูกค้า สิ่งที่คุณพูดมาอาจจะดีทั้งหมด 99 คำ แต่พอพูดคำหยาบมา 1 คำ ความดีคุณหายหมด เพราะฉะนั้นสื่อการเมืองใดใช้คำหยาบเกินเหตุ แพ้ตัวเอง งานวิจัย|ส่วนตัวผมมันเจ๊งทุกครั้งที่คนพูดคำลามก นอกจากนี้ อีกข้อหนึ่งคือห้ามโกหก เพราะหน้าที่ของสื่อเลือกข้าง ตรวจสอบรัฐบาลเรามักจะตั้งรับกับเรื่องโกหกเสมอ คนที่ทำเรื่องนี้ได้ดีคือรายการสายล่อฟ้า ที่ตรวจสอบเรื่องโกหกเสมอ ผมมีความเชื่อว่าหากเราตรวจสอบเรื่องโกหกได้มากเท่าไร คนจะหันมารับฟังเรามากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่พูดในบลูสกายสามารถตรวจสอบได้เสมอ”เถกิงเล่าให้ฟัง
ส่วนการอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลนั้น ผู้อำนวยการบลูสกายบอกว่าไม่มีผล ทั้งเรื่องการแทรกแซงสื่อ และเม็ดเงินโฆษณา
“จริงๆ แล้วหน้าที่สื่อทั่วโลก สำคัญคือต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐ แต่บ้านเราสื่อใหญ่ๆ มันละเลยตรงนั้น ทำให้รัฐบาลที่ได้รับการอวยมากเสียสมดุล กลายเป็นรัฐบาลที่เสียคน เพราะคิดว่าตัวเองมีอำนาจมาก แล้วมีสื่อไปยกยอปอปั้นจนล้มโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้ามีสื่อที่ดี แล้วรัฐบาลรับฟังความเห็นต่าง แล้วเอาสิ่งที่เขาตั้งข้อสังเกตมาปรับปรุง รัฐบาลอยู่ได้ตลอด ไอ้รัฐบาลที่มันล้มๆ ไป ปัญหาส่วนหนึ่งก็คือว่ามีสื่อที่ไม่สะท้อนความจริงให้เขาได้ใช้เป็นกระจกเงา หรือเข้าไปให้สื่อเขียนเชียร์มากเกินไป ไม่ตรงกับความจริง” เถกิงตอบคำถาม
ส่วนเม็ดเงินโฆษณานั้น เถกิงบอกว่าคุ้มทุนตั้งแต่เดือนที่ 7 เพราะบลูสกายเป็นทีวีที่ใช้ทุนน้อยมาก ไม่ว่าจะค่าเช่าสถานที่ สตูดิโอ หรือโปรดักชั่น เพราะบลูสกายขายข้อมูล และขายคนดังของชาวสีฟ้าเป็นหลัก ส่วนการทำข่าวก็ใช้หลักจรยุทธ์ คือเข้าได้ทุกพื้นที่ ด้วยอุปกรณ์ถ่ายทอดสดราคาไม่แพง
“ช่องอื่นหากจะรายงานสดต้องมี 60-70 คน ต้องมีรถดาวเทียม เปิดหน้า ต้องพูดจาตามหลักการ แต่เอาข่าวสารออกมาไม่ได้ บางสถานีก๊อบปี้มาจากเมืองนอก แต่ก็ไม่สามารถเอาสิ่งที่ชาวบ้านอยากเห็น แต่ของเราเอาสิ่งที่ชาวบ้านต้องการเป็นหลักในเรื่องข่าวสารการเมือง แล้วเราโชคดีที่ตอบสนองได้ทุกครั้ง อย่างปัญหาสวนยาง เรารู้ว่ากลุ่มผู้ชมเราอยู่ภาคใต้เยอะ เราก็อุทิศเวลามหาศาลให้เรื่องยางพารา พอเกิดเรื่องข้าว เราเทเวลามหาศาลให้เรื่องข้าว เขาก็ดูเรา สถานีอื่นก็มาว่าเราไม่ได้ ถึงวันนึงผมก็เลือกข้างคนเหล่านี้ ผมมีเวลาเยอะ และบลูสกายเป็นสถานีที่เกิดขึ้นมาเพื่อดูแลผลประโยชน์ของพวกเขา วันไหนเกิดเรื่อง ผมก็ให้เวลาทั้งวัน ช่องอื่นว่าอย่างไรผมไม่สน เพราะเราถือว่าเมื่อช่องอื่นไม่ดูแลเขา เราก็ต้องดูแล และเราทำแบบจริงใจ เรตติ้งเราก็ดีขึ้น อันนี้คือหัวใจสำคัญที่เราชนะในยุคนี้”เถกิงระบุ
ต้นตำรับ “รู้ทันทักษิณ”
ย้อนกลับไปก่อนก้าวสู่ตำแหน่งผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์เลือกข้างสีฟ้าแห่งนี้ เถกิง เล่าว่า เดิมเคยเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ตั้งแต่ปี 2526-2527 โดยเป็นนักข่าวสายตระเวนดูทั้งการเมือง ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และกระทรวงพาณิชย์ ก่อนย้ายตัวเองมาอยู่หนังสือพิมพ์คู่แข่ง และเปลี่ยนทางมาเริ่มต้นจัดรายารวิทยุที่คลื่น FM 101 MHz ที่ยังเป็นช่องข่าวมาถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่าตอนนั้นถือพลิกโฉมวิทยุช่องบันเทิง มาเป็นวิทยุข่าวครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2537 ร่วมกับเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
หลังจากนั้น เถกิงก็ผันตัวเองมาเป็นเอ็มดี ให้บริษัท วอทช์ด๊อก ของเจิมศักดิ์ จนกระทั่งช่วงต้นปี 2547 เถกิงกับเจิมศักดิ์ ได้ช่วยกันทำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นชื่อว่า “รู้ทันทักษิณ” ในห้วงเวลาที่กระแสต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยังคงแผ่วเบา
“ตอนนั้นก็ฮือฮามาก เพราะเราถือเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการต่อต้านคุณทักษิณ ในขณะที่สื่ออื่นๆ ยังคงชื่นชมคุณทักษิณหมด ผมเองทำหน้าที่เป็นทั้งครีเอทีฟ วางรูปแบบ ตั้งชื่อหนังสือ ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่จะอยู่เบื้องหลัง รับหน้าที่เขียนบท และให้อ.เจิมศักดิ์เป็นตัวแสดง” เถกิงพูดไปหัวเราะไป
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ากลุ่มคนเล็กๆ ที่ทำหนังสือ “รู้ทันทักษิณ” ในวันนั้น ยังคงทำหน้าที่เดิมอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียงแต่ว่ากลุ่มคนที่รับรู้รับทราบข้อมูล จากเถกิง เพิ่มขึ้นจากหลักพัน หลักหมื่น ไปจนถึงหลักหลายล้าน!
หลังจากหนังสือ “รู้ทันทักษิณ” ประสบความสำเร็จต่อเนื่องถึง 5 เล่ม เถกิงก็ยังคงทำงานกับเจิมศักดิ์ในวิทยุมาโดยตลอด ต่อมาเมื่อสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเปิดตัว เมื่อปี 2551 เทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการในขณะนั้น ก็ชวนให้เถกิงมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายข่าวและรายการ
“ผมอยู่ในไทยพีบีเอสก็พบสัจธรรมอย่างหนึ่งคือไม่ว่าจะฝ่ายเอ็นจีโอ หรือกลุ่มทุนการเมืองก็..พอกัน ผมถูกบีบออกจากไทยพีบีเอส หลังจากนั้นก็มาเป็นโปรดิวเซอร์รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” หากยังจำกันได้ ที่ดังที่สุดคือตอนที่เอาคุณอภิสิทธิ์มาเดินสนามบินสุวรรณภูมิ มาเดินเป็นแบบเรียลลิตี้หรือให้คุณวาสนา นาน่วม มาสัมภาษณ์ อภิสิทธิ์ในรถหุ้มเกราะ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนรูปแบบรายการของนายกรัฐมนตรีโดยสิ้นเชิง”
ส่วนความสัมพันธ์กับเอเอสทีวี ที่หลายคนนำไปลือกันว่า เกาเหลากับบลูสกายนั้น เถกิงยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน จนถึงทุกวันนี้ยังเคารพ สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของเอเอสทีวีเหมือนเดิม และต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญของเมืองไทยเอาไว้ เพราะในกระแสสื่อมวลชน ต้องมีจุดเริ่มต้น และมีคนร่วมสู้เสมอ
"บลูสกาย"ปรมาณูข่าวสาร
แม้บลูสกายจะเป็นสื่อเลือกข้าง แต่การนำเสนอข่าวนั้น เถกิง สมทรัพย์ หัวเรือใหญ่แห่งบลูสกาย ยืนยันว่า ยังทำหน้าที่ตามปกติ และยิ่งต้องทำให้ทั้งแฟน และคนที่ไม่ใช่แฟนสีฟ้าได้ติดตามสถานการณ์แบบใกล้ชิดและทันสถานการณ์กว่าเดิม
เถกิง เล่าให้ฟังว่า ได้ไปพบอุปกรณ์ “ทีวียู” สำหรับถ่ายทอดสดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ และตัดสินใจสั่งซื้อทันที เนื่องจากตรงคอนเซปต์ “จรยุทธ์” คือ เล็ก เร็ว สะดวก ต่างจากการถ่ายทอดสดของช่องอื่นที่ต้องใช้จานดาวเทียมขนาดใหญ่ หรือรถถ่ายทอดสดขนาดใหญ่ แต่กว่าจะได้ทีวียู บลูสกาย ก็ต้องระดมทุนด้วยการขายนาฬิกาและขายแก้วน้ำกันขนานใหญ่เช่นเดียวกัน
“เมื่อฝ่ายเทคนิคไปจัดซื้อมา หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ก็เกิดการชุมนุมของชาวสวนยางภาคใต้ เลยเอาอุปกรณ์นี้ไปถ่ายทอดสด เมื่ออุปกรณ์และทีมพร้อม จึงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แล้วก็เผอิญว่าการชุมนุมชาวสวนยางมีทั้งการปะทะ มีแก๊สน้ำตา แล้วก็มีลูกปืน วันนั้นจึงเหมือนการซ้อมใหญ่ของทีมงานและนักข่าวเรา”เถกิง เล่าให้ฟัง
“คนพวกนี้กลายเป็นบุคลากรที่มีประสบการณ์ และเราเปิดพื้นที่ให้รายงานเต็มที่ เขาเห็นอะไรก็รายงานสดได้ตรงนี้ ทำให้บลูสกายชนะอีกแบบ สมัยก่อนทีวีการเมืองเวลาจะรายงานก็เฉพาะในพื้นที่การชุมนุม เหตุการณ์อื่นอาจจะไม่ได้รายงาน แต่มันก็เป็นอีกพัฒนาการหนึ่งของการทำข่าว ปีนี้ เที่ยวนี้ ทั้งรัฐบาล และซีกการเมืองมันได้เกิดขึ้น”
เมื่อเครื่องมือชิ้นสำคัญอย่างอุปกรณ์ถ่ายทอดสดเดินทางมาถึงบลูสกาย ก็โชคดีที่ประชาธิปัตย์เริ่มจัดเวที “ผ่าความจริง” ขึ้นทั่วประเทศทันที ทำให้เขาได้มีโอกาสซ้อมใหญ่ถ่ายทอดสดเวทีปราศรัยด้วยเช่นเดียวกัน ในวันที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศเป่านกหวีดรวมพลครั้งใหญ่ที่สถานีรถไฟสามเสน บลูสกาย จึงถือว่าพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม
เถกิง เล่าย้อนให้ฟังว่า ก่อนเริ่มเวทีสามเสน มีใครสักคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่าน่าจะทำเวทีปราศรัยให้เป็นเวทีคอนเสิร์ต เพราะ ภูษิต ถ้ำจันทร์ หนึ่งในผู้บริหารบลูสกายและผู้บริหารเดอะ สตูดิโอ โปรดักชั่น เคยทำโปรดักชั่นคอนเสิร์ต AF ให้ทรู พอผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ฟังแล้วก็สนใจ สุดท้ายเวทีสามเสนเราก็เป็นเหมือนเวทีคอนเสิร์ตย่อมๆ
“วันนั้นผมกับบี (พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์) แล้วก็ลูกหมี (ชุมพล จุลใส) หาจุดวางไฟวางให้เต็มเลย ภูษิตก็ไปเอากล้องมา พอรถไฟวิ่งมาปรากฏว่าสวยมากเลย จัดแบบคอนเสิร์ต กล้องเคลื่อนตาม เห็นผู้คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดา หนุ่มสาว คนมีการศึกษา เวทีก็ทำได้ดี เพราะเอาคนดังขึ้นมา สีธงชาติก็มา นกหวีดสายฟ้าเริ่มขายดี ก็มีคนเอาไปใส่สายธงชาติ เพราะเวทีใช้ธงสีธงชาติ เป็นอย่างนี้ก็เริ่มมีสีสันในการชุมนุม แล้วก็เป็นรูปแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งย้ายมาปักหลักที่ราชดำเนิน”เถกิง เล่าเบื้องหลังให้ฟัง
หลังจากเวทีสามเสนเริ่มต้นขึ้น และประสบความสำเร็จด้วยดี สุเทพ ก็เชิญ เถกิง และทีมงานบลูสกายไปหารือว่าอยากเห็นการชุมนุมครั้งนี้เหมือนทีวีพูลเวลาถ่ายโอลิมปิก จึงประชุมร่วมกับ ทีนิวส์ เอฟเอ็มทีวี สิบสามสยามไทย อาร์เอสยู รวมถึงหนังสือพิมพ์อย่าง แนวหน้า และไทยโพสต์ เข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย โดยอาศัยทรัพยากรระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน กล้อง หรืออุปกรณ์สมัยใหม่อย่าง “โดรนถ่ายภาพมุมสูง” โดยจะประชุมกันทุกวันว่าจุดไหนใครรับผิดชอบ โดรนวันนี้ใช้ของใคร แล้วบลูสกายก็เชื่อมสัญญาณทุกส่วนไว้จอตัวเอง
เถกิง บอกว่า ด้วยวิธีนี้มันทำให้เข้าถึงข่าวสารค่อนข้างครอบคลุมและได้ภาพ โดยบลูสกายเปรียบเหมือนแฟล็กชิป เป็นตัวคิกออฟไปยังช่องอื่นๆ ขณะเดียวกันก็มีเครือข่ายอื่นอีก เช่น โซเชียลมีเดีย ไลน์ หรือแม้กระทั่งปากต่อปาก โดยบลูสกายเป็นศูนย์กลางในการคิกออฟเอง
“สมมติมีคนดูล้านคน วันรุ่งขึ้นหนึ่งล้านนี้ไปขยายผลในโซเชียลมีเดีย ปากต่อปาก ถือเป็น ‘ปรมาณูข่าวสาร’ แต่บลูสกายต้องเป็นตัวคิกออฟน่าเชื่อถือที่สุด เห็นชัดจากตอนเกิดเหตุ ต้องการน้ำเกลือ หน้ากากกันแก๊ส ก็มา บลูสกายคือตัวกรองว่า|อันไหนควรหรือไม่ควรเสนอ โดยร่วมกับหลายส่วนช่วยกัน ดังนั้นประชาชนจะได้รับสิ่งที่คัดสรรแล้ว ตอนเสื้อเหลืองชุมนุมอาจจะมีเอเอสทีวี มีวิทยุชุมชนกับหนังสือพิมพ์เป็นหลัก ตอนสีแดงชุมนุมก็มีวิทยุชุมชน ทีวีดาวเทียม แต่การสู้ครั้งนี้มีทีวีดาวเทียม โซเชียลมีเดีย หนังสือพิมพ์ ซึ่งบลูสกายเปรียบได้กับการเป็นถนนหนทาง สะพาน หรือทางรถไฟที่เชื่อมทั้งหมดเข้าหากัน” เถกิง บอกกับเรา
วันที่ สุเทพ ประกาศชัตดาวน์ กทม. 7 จุดนั้น เถกิง ยอมรับว่า บลูสกายไม่ได้รู้อะไรเกินกว่าคนอื่น เพียงแต่โชคดีที่มีราชดำเนินเน็ตเวิร์กเป็นตัวช่วย ทำให้การถ่ายทอดสดแต่ละเวทีโดยรวมสามารถดำเนินการได้ทุกเวทีเชื่อมถึงกันทั้งหมด ยกเว้นแจ้งวัฒนะที่เดียว แต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน ทีมเคลื่อนที่เร็วของบลูสกายก็พร้อมไปทันที
ส่วนการเน้นน้ำหนักการเสนอนั้น เถกิง บอกว่า เวทีหลักยังอยู่ที่ปทุมวัน ส่วนเวทีอื่นขึ้นอยู่กับเนื้อหา ซึ่งต้องทำให้สนุก ดูแล้วอิ่ม ครบ โดยตัวเขาเองมีหน้าที่ค้นหาของดีว่าอยู่ตรงไหนและสรรหาขึ้นจอให้คนดู เช่น ถ้า สมเกียรติ อ่อนวิมล พูดที่เวทีอโศกฯ เพื่อให้ออกทีวีสด ก็ต้องประสานกับเวทีใหญ่ว่า เมื่อ สุเทพ พูดจบสาระสำคัญ ก็ต้องนำ สมเกียรติ ขึ้นเวทีทันที โดยจะพยายามตัดสลับให้แต่ละวันครบทั้ง 7 เวที เพื่อระดมคนให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ต้องบาลานซ์ศิลปิน ดารา นักร้อง ที่ขึ้นเวทีให้คนดูที่บ้านผ่อนคลายไปด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่าการชุมนุมของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ของบลูสกายคือจุดสูงสุดของช่องเลือกข้างแห่งนี้แล้วหรือไม่ เถกิง ยอมรับว่า คนดูเยอะขึ้นในจำนวนมหาศาลก็จริง แต่รายได้เองก็หายไปมาก โดยเฉพาะช่วง 1-2 เดือนหลัง ซึ่งต้องตัดโฆษณาออกทั้งหมด เพื่อถ่ายทอดสด ทั้งที่เป็นรายได้หลักของช่อง อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จากการระดมทุนขายนกหวีดทองคำ จนพอนำมาจ่ายเงินเดือน ค่าเช่า
แม้การเงินจะไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่ เถกิง และทีมงานบลูสกายพบทุกคืนกลับเป็นการก่อกวนสัญญาณจนหลายครั้งแทบจะดูไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เถกิง บอกว่า เบื้องต้นรูปแบบการกวนสัญญาณจะใช้การยิงผ่านรถโมบายที่ติดตั้งอุปกรณ์ ซึ่งขณะนี้ค่อนข้างรู้พิกัดแน่ชัดว่าอยู่ที่ไหน เป็นของใคร ใน 3 จุด คือ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จ.นนทบุรี และที่ จ.ปทุมธานี เพราะคนที่เชียร์บลูสกายอยู่ในหน่วยงานพวกนี้ค่อนข้างมาก ทำให้รู้เบาะแสว่าการกวนสัญญาณอยู่ที่ไหน รอเพียงแค่ให้จับได้คาหนังคาเขาเท่านั้น
“การกวนสัญญาณไม่ส่งผลให้คนรับรู้ข่าวสารน้อยลง ยกตัวอย่างการลุกฮือของประชาชนที่อียิปต์
ประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัก ชัตดาวน์การสื่อสารทั้งประเทศ กลับทำให้คนออกมามหาศาล เพราะอยากเห็นด้วยตาตัวเอง และแม้จะปิดบลูสกาย เราก็มีช่องทางอื่น ดาวเทียมปิดได้ไม่หมด คุณปิด เราก็ไปขึ้นเน็ตเวิร์ก โซเชียลมีเดียหยุดทำงาน โทรศัพท์ วิทยุชุมชนในพื้นที่ยังเดิน ถ้าปิดก็ต้องปิดหมดทั้งประเทศ ถ้าทำแบบนั้นยิ่งไปกันใหญ่ คนออกมาขนาดนี้ไม่ใช่บลูสกายอย่างเดียว แต่ด้วยเน็ตเวิร์กที่กระชากพลังสังคมออกมา” เถกิง เล่าให้ฟัง
ส่วนอนาคตหลังจบการชุมนุมนั้น เถกิง บอกว่า น่าสนใจ เนื่องจากทุกช่องเลือกข้างมักจะติดกับดักกับเหตุการณ์เดิมๆ เสมอ จนทำให้ช่องไร้การพัฒนาจนน่าเบื่อ ทำให้คนดูค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ
“ไม่ว่าครั้งนี้จะแพ้หรือชนะ แต่จะต้องปรับให้คนได้รู้สึกว่าการเมืองต้องปรับให้พอดี เพราะถ้าวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ ไม่ไปข้างหน้า ขณะที่ผู้ชมไปข้างหน้าแล้ว บลูสกายก็อยู่ไม่ได้ อย่าลืมว่าหากไม่มีเหตุการณ์ คนดูก็ไม่มากเท่านี้ ถึงเวลาคนจำนวนหนึ่งก็กลับไปดูเกมโชว์ ดูละคร หากไม่มีอะไรดึงดูดให้เขาดู อย่างน้อยสุดต้องลดโทนนำเสนอ แล้วผลิตรายการมีสาระนำประชาชนไปสู่อนาคตที่ดีกว่าและนำไปสู่การปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ว่าฝ่ายไหนก็คาดหวังตรงกัน และบลูสกายจะต้องเป็นคำตอบให้กับทุกกลุ่มให้ได้”เถกิง ตั้งความหวัง


