สันดานอเมริกัน
‘ขอเพียงให้กูได้ ดีชั่วอย่างไรไม่สน’ ท่านที่ได้อ่านบทความเรื่อง “มิตรเก่ามิตรใหม่”
‘ขอเพียงให้กูได้ ดีชั่วอย่างไรไม่สน’
ท่านที่ได้อ่านบทความเรื่อง “มิตรเก่ามิตรใหม่” เขียนโดยคุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ ในโพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา คงจะสรุปความรู้สึกที่มีต่อการกระทำของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อ “มิตรประเทศ” ได้ใกล้เคียงกับที่ผู้เขียนขึ้นต้นบทความไว้ในวันนี้ ท่ามกลางข่าวลือว่าการที่สหรัฐอเมริกาออกมาหนุนระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เนื่องด้วยมีผลประโยชน์ที่จะได้รับอย่างมหาศาลหากรัฐบาลนี้ได้ควบคุมประเทศไทยต่อไป โดยเฉพาะพลังงานในอ่าวไทยที่เชื่อมโยงไปถึงกัมพูชาและเวียดนาม
นี่คือ “สันดานอเมริกัน” โดยแท้
การเข้ามายุ่มย่ามในกิจการภายในของประเทศ อื่น คือ “นโยบายหลัก” ของรัฐบาลสหรัฐตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นแล้ว ทำให้นึกถึง “วีรกรรม” ของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช 2 เรื่อง คือ หนึ่ง การถูกดำเนินคดีกรณีหมิ่นทูตสหรัฐในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม และสอง การไปแสดงภาพยนตร์เรื่อง “ดิ อักลี่ อเมริกัน” ที่ฮอลลีวู้ด แต่ก่อนที่จะเล่าถึงวีรกรรมทั้งสองครั้งนี้ ผู้เขียนจะขอเท้าความถึงความสัมพันธ์ของไทยกับสหรัฐในบางแง่มุม ดังนี้
สันดานฝรั่งตั้งแต่ครั้งโบราณคือ “การล่าอาณานิคม” เพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง ด้วยการ “ค้นหาและกอบโกย” ทรัพยากรของประเทศในดินแดนต่างๆ บ้างก็อ้างเอาการเผยแผ่ศาสนามาบังหน้า บ้างก็อ้างว่ามาค้าขายช่วยสร้างความร่ำรวย แต่ในกรณีของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาประเทศไทยครั้งแรกใน พ.ศ. 2364 นั้นมา “ค้าอาวุธ” โดยกัปตันเรือชาวอเมริกันชื่อ กัปตันแฮน ได้นำปืนคาบศิลาจำนวน 500 กระบอก มาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นที่ต้องพระราชหฤทัยจึงพระราชทานสิ่งของตอบแทนจนคุ้มราคาปืน แล้วยังได้รับบรรดาศักดิ์ให้เป็น ขุนภักดีราช จากนั้นก็นำมาซึ่งการหลั่งไหลของชาวอเมริกันในอาชีพหมอสอนศาสนา หรือมิชชันนารี
ส่วนใหญ่แล้วข้อมูลที่เราทราบจากเอกสารวิชาการมักจะมีมุมมองเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาไปในแง่ดีค่อนข้างมาก เช่น ในยุคแรกที่มีมิชชันนารีชาวอเมริกันเข้ามาก็นำเอาศิลปะวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามา ครั้นถึงยุคที่ไทยถูกอังกฤษและฝรั่งเศสล่าเมืองขึ้น ก็มีข้อมูลว่าสหรัฐมาช่วยถ่วงดุลและช่วยเจรจาเพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบในทำนองเป็น ที่ปรึกษากฎหมายให้แก่ทางราชการไทย ทั้งยังได้พาไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นด้วย รวมทั้งให้การช่วยเหลือทางทหารและการพัฒนาประเทศ
ในยุคนี้ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจจะเป็นเพราะความ “หลงตัวเอง” ที่สหรัฐอาจจะเหมาเอาว่าที่ยุโรปและ “โลกทั้งโลกนี้” สิ้นสุดมหาสงครามในครั้งนั้นลงได้ก็ด้วย “เทวดา” ที่ชื่อว่า “สหรัฐอเมริกา” สหรัฐอเมริกาจึงสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “ตำรวจโลก” โดยมีอาชญากรที่ต้องไล่ล่าในชื่อว่า “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ที่มีสหภาพโซเวียตรัสเซียเป็น “ผู้ร้ายโลก” พร้อมด้วยสมุนบริวารที่สหรัฐอเมริกาต้องเข้าไปปราบปราม
สหรัฐอเมริกาจึงได้รวบรวมพรรคพวกโดยอาศัย “ประชานิยมในระดับนานาชาติ” ที่เรียกว่า เงินให้เปล่าบ้าง เงินกู้ระยะยาวปลอดดอกเบี้ย บ้าง ผ่านธนาคารโลกที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นหุ้น ส่วนใหญ่และผู้บริหารหลัก รวมทั้งเงินทุนในการพัฒนาด้านต่างๆ ที่แอบแฝงมาในรูปของกิจกรรมด้านสังคม การศึกษา และสาธารณสุข เช่น มูลนิธิทุนการศึกษา และการแลกเปลี่ยนบุคลากรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลของประเทศเหล่านี้มาร่วมต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ด้วยกัน
กรณี “กุ๊ยอเมริกัน” และ “ดิ อักลี่ อเมริกัน” ก็เกิดขึ้นในยุคนี้
เรื่องราวโดยสรุปก็คือ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2500 มีการเลือกตั้งที่ได้ชื่อว่า “สกปรกที่สุด” ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นนักการเมืองและนักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อ ได้เขียนลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐต่อกรณีที่ทูตสหรัฐได้ให้ความเห็น (นี่ก็เป็นการใส่เกือกที่น่ารังเกียจ) ว่า ที่สหรัฐก็มีการแย่งหีบบัตรเลือกตั้งเหมือนกัน ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จึงกระแนะกระแหนจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้นว่า “อ๋อ เพราะคบกุ๊ยอเมริกันนี่เอง” จอมพล ป. จึงฟ้องฐานหมิ่นทูต ที่สุดท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ถูกตัดสินว่ามีความผิด ศาลให้ปรับ 500 บาท (ในสมัยนั้นถือว่ามาก คิดเป็นเงินสมัยนี้ก็ราวๆ 2-3 หมื่นบาท เทียบกับราคาทองสมัยนั้นบาทละ 40 บาท) ส่วนโทษจำคุก 2 เดือน ให้รอลงอาญา
ส่วนภาพยนตร์เรื่อง ดิ อักลี่ อเมริกัน ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของนักประพันธ์ชาวสหรัฐ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ไปแสดงเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศสารขัณฑ์ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าคือประเทศไทยนั่นแหละ และมาร์ลอน แบรนโด เล่นเป็นเอกอัครราชทูตอเมริกัน มีเนื้อเรื่องเสียดสีความเป็นอเมริกันที่ชอบวางท่าเป็น “เจ้าโลก” ทำให้คนในประเทศต่างๆ รังเกียจ ชอบทำตัวเป็น “นักบุญ” แต่แท้จริงแล้วเป็นปีศาจร้ายที่หวังมากอบโกยเอารัดเอาเปรียบคนชาติอื่น ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าแม้แต่ผู้กำกับชาวสหรัฐก็ยังแอบนินทารัฐบาลของตนว่า “น่ารังเกียจ” คืออักลี่จริงๆ และเมื่อท่านอาจารย์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ ใน พ.ศ. 2518 ก็ได้เจอกับความน่ารังเกียจแบบนี้อีกครั้งในความโอหังของรัฐบาลสหรัฐที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีโดยละเมิดอธิปไตยของไทย
ในตอนนั้นสหรัฐได้นำเรือบรรทุกเครื่องบินชื่อว่า “มายาเกซ” ล่วงล้ำเข้ามาในน่านน้ำของไทยที่อ่าวไทย รัฐบาลไทยจึงประท้วงโดยเรียกทูตไทยประจำสหรัฐกลับ แล้วเชิญทูตสหรัฐออกไปจากประเทศไทยเสียด้วย จึงเกิดความตึงเครียดมากและทำให้สหรัฐเสียหน้ามาก เพราะไม่นึกว่ามหามิตรอย่างไทยจะกล้าหาญ “เนรคุณ” สหรัฐที่ปรนเปรอผู้นำไทยจนอิ่มหมีพีมัน (ในสมัยที่เผด็จการทหารครองเมือง) และได้ช่วยเหลือเงินทองพัฒนาแก่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
ผู้เขียนเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่ในสมัยนั้น จำได้ว่าได้ร่วมประท้วงสหรัฐไปตามท้องถนนไปปิดสถานทูตสหรัฐ และได้เห็นการเผาธงชาติ รวมทั้งการปัสสาวะรดธงชาติสหรัฐ แถวๆ สยามสแควร์ เป็นที่สะใจของคนไทยในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐก็ขาดสะบั้น กว่าที่จะมาคืนดีได้ก็อีกหลายปี แต่ก็ทำให้สหรัฐหมดกร่างไปนานทีเดียว
ตอนนี้ “สันดานความกร่าง” ได้ฟื้นคืนมาอีก โดยแอบแฝงมาในรูปแบบของการอ้างว่าเพื่อรักษาประชาธิปไตยให้แก่ประเทศไทย ด้วยการมาเชียร์รัฐบาลชั่วที่คนไทยกำลังขับไล่
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้จำ ไม่ใช่มาทำชั่วซ้ำเหมือนเดิม


