posttoday

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

20 พฤศจิกายน 2556

ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือแกนนำเวทีคปท.ก็ควบคุมน้องๆ อาชีวะกลุ่มนั้นไม่ได้ ส่วนเราเด็กอาชีวะด้วยกันไม่ได้มีปัญหา ต่างคนต่างอยู่ เจอหน้าก็ทักทายปกติ

โดย....ทีมข่าวในประเทศ

ตำนานอาชีวะกำเนิดขบวนการ

ด้วยระอุแค้นที่อัดแน่นเต็มเอียดในหัวอก ... มากไปแล้ว มันรังแกก้าวล่วง “สถาบันอันเป็นที่รักเคารพเทิดทูนยิ่ง” เกินกว่าจะยอมกันได้อีกต่อไปแล้ว

ความคับข้องได้หลอมรวมหัวใจฉกรรจ์ชายไว้เป็นหนึ่ง ... 4 ตำนานอาชีวะฟื้นคืนชีพผงาดกล้า

“ปีศาจตรอกจันทร์” กนกอาชีวะ – “ปีศาจดำ” เทคโนโลยีประชาชื่น – “ช่างกลชาวนา” ช่างกลบุรณพนธ์ – “ช่างสำรวจ” เฉลิมสาสน์

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น ...

“พ่อถูกดูหมิ่น คนที่ว่าร้ายกลับได้ดี ทุกคนเลยอึดอัด” หัสชัย ปานนวล หรือ “เค-บุรณพนธ์” อาชีวะรุ่นบุกเบิกในวัย 43 ปี น้ำเสียงราบเรียบ ประหยัดคำ แต่จริงจัง

แม้ว่าจะติดตามสถานการณ์บ้านเมืองมาอย่างใกล้ชิด แต่ที่ผ่านมา “หัสชัย” ไม่ได้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวใดๆ ด้วยประเมินแล้วว่าในอดีตข้อเรียกร้องและประเด็นปัญหายังไม่ชัดเจน

“มันมาชัดเจนยุคนี้ รัฐบาลไม่ได้เอาจริงเอาจังกับผู้ที่หมิ่นสถาบัน แถมยังปล่อยให้มีการก้าวล่วงมากขึ้นเรื่อยๆ หนำซ้ำการบริหารราชการและนโยบายทุกอย่างก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง”หัสชัย จึงตัดสินใจก้าวออกมา

ด้วยความอึดอัดและคับแค้นข้างต้น ศิษย์เก่าช่างกลบุรณพนธ์ภายใต้การเชิญชวนของ “หัสชัย” จึงตกลงกันว่าจะมาเป็นแนวร่วมเวทีกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่สวนลุมพินี

“ตอนนั้นมีอยู่ไม่กี่คน ก็หารือพูดคุยกัน และระหว่างที่เรากำลังกลับไปทำป้ายของกลุ่ม เป็นเวลาเดียวกับที่ช่างกลปทุมวันเข้ามาร่วมที่เวทีสวนลุมฯ” หัสชัย เล่าต่อไปว่า ได้สังเกตจุดยืนของช่างกลปทุมวัน ซึ่งมีแนวคิดตรงกันกับช่างกลบุรณพนธ์ คือไม่พอใจคนดูหมิ่นสถาบัน จึงเชื่อว่ายังมีคนอีกมากที่คิดเช่นนี้

“ผมเลยไปชวนเพื่อนมาร่วมอีก มีทั้งกนกฯ ประชาชื่นฯ เฉลิมสาสน์ มากันหมด คือสถาบันเหล่านี้ไม่มีแล้วในปัจจุบัน เป็นตำนานไปแล้ว แต่ชื่อเสียงของสถาบันและตัวบุคคลยังมีอยู่ เด็กรุ่นน้องได้ยินก็รู้จัก คราวนี้กลายเป็นกระแสว่ารุ่นเก่าออกกันมาแล้ว น้องๆ ก็เลยออกมาร่วมด้วย”

ระหว่างนั้น บรรยากาศการชุมนุมเวที กปท. เป็นไปอย่างคึกคัก มีนักเรียนอาชีวะจากสถาบันต่างๆ เข้ามายังสถานที่ชุมนุมนับไม่ถ้วน “หัสชัย” จึงทำผ้าพันคอแจกจ่ายเป็นสัญลักษณ์ให้กลุ่มอาชีวะ “ตอนนั้นทำมาแจกร่วม 4,000 ผืน ยังไม่พอ”

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง หัสชัย

ทำเวิร์คช็อป-จัดตั้งองค์กรกลาง

“ผมก็มองต่อไปว่าเมื่ออาชีวะจากหลายสถาบันมารวมตัวกัน ปัญหาก็จะเกิดขึ้น หากไม่นำกระบวนการมาบริหารจัดการกลุ่ม ไม่นานก็คงจะเอากันอีก” หัสชัยและเพื่อนๆ ที่เคยเป็นตำนานในวงการอาชีวะบารมีมากพอจะทำให้รุ่นน้องๆ เกรงอกเกรงใจ จึงเรียกประชุมตัวแทนสถาบัน

“ผมแบ่งออกอย่างนี้นะ คือแบ่งเป็นสถาบันที่ปิดไปแล้วกับสถาบันที่ยังเปิดอยู่ และสถาบันที่ยังเปิดอยู่ก็แบ่งออกเป็นศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน นั่นเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการและทราบว่าใครเป็นใคร จากนั้นผมก็ทำเวิร์คช็อประดมความคิดเห็นจากน้องๆ”

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

“มีตัวแทน 50 สถาบันใน กทม.เข้าร่วม ผมก็ถามว่าคุณมาที่นี่เพื่ออะไร ให้ทุกคนเขียนคำตอบแล้วเอาคำตอบเหล่านั้นมาขึ้นกระดาน เชื่อไหมว่าอันดับหนึ่งที่ทุกคนตอบตรงกันคือมาเพื่อปกป้องสถาบัน ส่วนรองลงมาคือนโยบายของรัฐบาลล้มเหลว ปัญหาคอรัปชั่น”

“จากนั้นผมก็ถามต่ออีกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร คำตอบอันดับหนึ่งคือกำจัดกลุ่มทุนสามานย์ที่ทำร้ายสถาบันให้หมดไป รวมถึงจัดการคนที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนเหล่านี้ด้วย”

หัสชัย บอกว่า เมื่อความคิดเห็นของเหล่าอาชีวะตรงกัน ก็เริ่มมีการขึ้นเวทีเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของกลุ่มต่างๆ

“ในขั้นตอนนี้ก็มีปัญหาเล็กน้อย คือบางกลุ่มบอกว่าที่ออกมาก็เพื่อปกป้องสถาบันอย่างเดียวไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ก็ต้องมาแลกเปลี่ยนสร้างความเข้าใจร่วมกันจนได้ข้อสรุปว่า นักการเมืองเหล่านั้นที่ทำให้สถาบันเดือดร้อน”

นอกจากนี้ มีน้องบางคนกังวลว่าเมื่อขึ้นเวทีเปิดหน้าไปแล้วจะถูกสถาบันการศึกษาเล่นงาน หรือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามไปคุกคาม ก็ต้องชี้แจงกันว่าใครไม่สะดวกหรือรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ให้อยู่บ้านไปก่อน อย่างไรก็ดีรุ่นพี่ได้นำปัญหานี้ขึ้นมาถกกันในที่ประชุม จนนำมาสู่การตั้ง “กลุ่มพลังอาชีวะปกป้องชาติและราชบัลลังก์” ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการเคลื่อนไหว และมีการแจกปลอกแขน “สีเหลือง” เป็นสัญลักษณ์

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

 

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

กปท.แตก –“อาชีวะ”ระหองระแหง

การชุมนุมที่สวนลุมฯ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ไม่มีสัญญาณของความรุนแรง กระทั่งมาถึงวันที่ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ แกนนำกปท. ประกาศยกระดับการชุมนุม เคลื่อนพลประชิดทำเนียบ กลุ่มอาชีวะก็ร่วมขบวนไปด้วย

“ขณะนั้นมวลชนฮึกเหิมมาก แต่จู่ๆ แกนนำกลับประกาศว่าจะไม่บุกทำเนียบและให้กลับไปยังสถานที่ตั้งเดิมคือสวนลุมฯ ตอนนั้นมวลชนเคว้งคว้างมาก บางส่วนเชื่อแกนนำก็กลับไป บางส่วนก็อยากจะลุยต่อ มันอยู่ในช่วงไร้ภาวะการนำอย่างแท้จริง”

“แล้วพี่นกเขา (นิติธร ล้ำเหลือ) ก็ขึ้นมานำเอง เขาถามมวลชนว่ายังจะเดินหน้าอยู่อีกไหม จากนั้นก็พาคนไปปักหลักที่แยกอุรุพงษ์ กำเนิดเป็นเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ขึ้นมา ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงอาชีวะกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมกลับไปสวนลุมฯ”

หัสชัย ยอมรับว่า ขณะนั้นมีความคิดที่แตกแขนงออกเป็น 2 ทิศทาง โดยซีกหนึ่งเห็นควรกลับไปชุมนุมต่อที่สวนลุมฯ อีกซีกหนึ่งเคียดแค้นแกนนำ กปท. ว่าไม่เอาจริงเอาจังและเห็นว่าควรไปปกป้องมวลชนที่ย้ายไปชุมนุมที่แยกอุรุพงษ์

“น้องบางคนบอกว่ามวลชนตามเรามา ดังนั้นเราก็ต้องตามไปปกป้องมวลชนที่อุรุพงษ์ด้วย ผมก็ให้สติน้องไปว่าเวทีที่อุรุพงษ์เป็นยังไงก็ยังไม่รู้ ทิศทางการเคลื่อนไหวยังไม่ชัดเจน อาชีวะจึงควรจะสงวนท่าทีไว้ก่อน น้องบางคนก็รุกเร้าให้ผมไปดูสถานที่การชุมนุม ผมก็ไปดู ตอนนั้นผมเห็นว่าการจัดตั้งมันรวดเร็วมากจนแปลกๆ มีสื่อทั้งเอเอสทีวี และบลูสกาย เข้ามาถ่ายทอด”

“ผมก็บอกไปอีกว่าเราควรถอยออกมาสักก้าวหนึ่งก่อน อย่าให้พลังบริสุทธิ์ต้องกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะนั่นจะผิดหลักการที่เราคุยกันไว้ตั้งแต่แรก คือออกมาปกป้องสถาบันที่เคารพรัก แต่น้องๆ ก็ยังยืนยันว่า ถึงอย่างไรก็ขอปักหลักร่วมกับมวลชนที่อุรุพงษ์ ผมก็โอเค เคารพในการตัดสินใจของกันและกัน”

“แต่พอนานวันเข้ามันเริ่มจะเห็นปัญหา คือแกนนำก็เข้ามามีบทบาทกับกลุ่มน้องๆ มากขึ้น น้องๆ ก็เริ่มฟังแกนนำ ผมเลยตัดสินใจเรียกประชุมใหญ่อีกครั้ง โดยคิดว่าควรนำระบบ “ชมรม” เข้าไปจับเพื่อให้เกิดระเบียบ ซึ่งน้องๆ กลุ่มนั้นก็บอกว่าไม่เอาชมรมจะชุมนุมอย่างเดียวเพราะห่วงมวลชน มาถึงนาทีนี้เขาไม่ฟังเราแล้ว ลึกๆ มันมีอะไรมากกว่านี้ ความสัมพันธ์มันเริ่มระหองระแหง” 

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

แยก2กลุ่ม ปลอกแขน“เหลือง-ฟ้า”

กระทั่ง 3 เวทีการชุมนุม คือ กปท. คปท. และเวทีประชาชนต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ เคลื่อนมาสู่ถนนราชดำเนิน ตั้งแต่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ทอดตัวยาวถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย “กลุ่มอาชีวะ” ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยชัดเจน

“ผมก็ประกาศว่าหากเป็นอย่างนั้นแล้ว ใครสะดวกใจเวทีไหนก็ให้ไปเวทีนั้น ภาพที่ออกมาก็คือเวที กปท. จะเป็นกลุ่มอาชีวะส่วนใหญ่ที่ติดตามกันมาตั้งแต่สวนลุมฯ ส่วนเวที คปท. จะค่อนข้างเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ ที่ติดตามมาจากอุรุพงษ์ ขณะที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจะเป็นกลุ่มอาชีวะที่มีความสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์และได้แยกตัวมาจากอุรุพงษ์อีกที”

“ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือแกนนำเวทีคปท.ก็ควบคุมน้องๆ อาชีวะกลุ่มนั้นไม่ได้ ส่วนเราเด็กอาชีวะด้วยกันไม่ได้มีปัญหา ต่างคนต่างอยู่ เจอหน้าก็ทักทายปกติ” 

คำบอกเล่าของ “หัสชัย” สอดรับกับกรณีที่แกนนำคปท.ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นเต้นท์อาชีวะ รวมถึงการแถลงข่าวด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่าหากเกิดเหตุความรุนแรงขึ้นอีกจะตัดขาดและให้ออกจากพื้นที่โดยทันที

“เรามีระบบกันอยู่ มีชมรมกันอยู่ เราชุมนุมกันในกรอบของกฎหมาย เรามาด้วยใจไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ยืนยันได้ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์” หัสชัย ระบุ และว่า กลุ่มอาชีวะภายใต้ชมรมพลังอาชีวะปกป้องชาติและราชบัลลังก์ใช้ปลอกแขน “สีเหลือง” ส่วนภาพข่าวที่เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นปลอกแขน “สีฟ้า”

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

 

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

 

เบื้องลึกขบวนการ"อาชีวะ"สัมพันธ์ระหองระแหง

 

 

ข่าวล่าสุด

พลังงานคุมเข้มแท่นขุดเจาะอ่าวไทย สกัดโดรนป่วน ไม่กระทบการผลิต