posttoday

ชนะศึกแต่ยังไม่ชนะสงคราม

14 พฤศจิกายน 2556

นับแต่นี้ไป การต่อสู้ระหว่างประชาชนกับรัฐบาลจะเข้มข้นมากขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้เปรียบเสมือนสงครามครั้งใหญ่ ที่ไม่มีเสมอ มีแต่ชนะและแพ้เท่านั้น สองฝ่ายต่างก็ต้องการชนะ ดังนั้น จึงต้องระดมกำลังและดำเนินกลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อเอาชนะให้ได้

โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

นับแต่นี้ไป การต่อสู้ระหว่างประชาชนกับรัฐบาลจะเข้มข้นมากขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้เปรียบเสมือนสงครามครั้งใหญ่ ที่ไม่มีเสมอ มีแต่ชนะและแพ้เท่านั้น สองฝ่ายต่างก็ต้องการชนะ ดังนั้น จึงต้องระดมกำลังและดำเนินกลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อเอาชนะให้ได้

เมื่อเปรียบเทียบดุลกำลังกันแล้ว ก่อนการแปรญัตติ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นฉบับสุดซอย ดุลกำลังเอียงมาทางรัฐบาลซึ่งมีมวลชนเสื้อแดงสนับสนุน รัฐบาลคุมตำรวจและข้าราชการได้ทั้งหมด แต่พอมีการแปรญัตติจากฉบับต้นซอยมาเป็นฉบับสุดซอย ดุลกำลังได้เทน้ำหนักมาทาง กลุ่มประชาชนแทน ไม่ว่าจะพิจารณาในเชิง “ปริมาณ” ที่มีคนออกมาชุมนุมในถนนราชดำเนินกลางอย่างมืดฟ้ามัวดิน มากสุดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่เต็มแน่นจากผ่านฟ้าถึงสี่แยกคอกวัว โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ถนนราชดำเนินนอกก็มีคนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น ไทยหลับได้ตื่นขึ้นแล้ว ไทยเฉยก็ไม่เฉยอีกต่อไป

หากมองในเชิง “คุณภาพ” ประชาชนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลมีหลากหลายอาชีพตั้งแต่กลุ่มผู้พิพากษา อาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แพทย์พยาบาลและบุคลากรด้านสาธารณสุข นักวิชาการ นักเรียนนักศึกษา พ่อค้านักธุรกิจ ศิลปินนักร้องนักแสดง ข้าราชการ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็น “พลังกดดัน” (Pressure Groups) อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มองในแง่ “พื้นที่” การชุมนุมมีทั้งใน กทม.และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ทำนอง “แยกกันเดิน” และ “รวมกันตี” ต่อเป้าหมายเดียวกัน ส่วน “ประเด็น” ของการเคลื่อนไหวนั้นได้สร้าง “ความชอบธรรม” ให้กับกลุ่มประชาชนที่ออกมาต่อต้าน เพราะประชาชนคัดค้านการปล่อยคนโกง คนเผาบ้านเผาเมือง ฯลฯ ซึ่งถือว่าขัดทั้งหลักนิติรัฐและนิติธรรม หลักการถ่วงดุลอำนาจ การที่ประชาชนออกมารวมตัวคัดค้านรัฐบาลจึงมีความชอบธรรม ประชาชนเป็นฝ่าย “เทพ” ที่ออกมาสู้กับรัฐบาล “มาร” ประชาชนใช้สงคราม “ธรรมะ” ไปปราบฝ่าย “อธรรม” การต่อสู้ครั้งนี้เป็น “สงครามยุติธรรม” ของประชาชนที่ลุกขึ้นมาทวงอำนาจของเขาคืนจากรัฐบาลที่นำอำนาจที่ประชาชนมอบให้ไปใช้ในทางที่ผิด

ขณะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ภายใต้การบงการของทักษิณได้ประกาศสู้ไม่ถอย ระดมสรรพกำลังและใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อรักษา “อำนาจทางการเมือง” ที่ได้มาบนซากศพของประชาชนและใช้อำนาจนั้นไปรักษาและเพิ่มพูน “ผลประโยชน์” ของตระกูลอย่างเต็มที่ คนพวกนี้กลัวว่าหากแพ้ ทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบครัวนี้มีอยู่ทั่วประเทศและมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทที่อาจถูกยึดเป็นของรัฐ นี่เป็น “เดิมพัน” ที่สูงมาก แต่เป็นเดิมพันของตระกูล

รัฐบาลและพวกใช้ทุกกลยุทธ์เข้าสู้กับกลุ่มต่อต้านอย่างเต็มที่ ด้านหนึ่งคือการถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งหมดออก โดยหวังที่จะใช้ประเด็นนี้ลดความชอบธรรมของกลุ่มต่อต้าน ต่อไปอาจยอมขอโทษประชาชนก็ได้ เพื่อเบนความสนใจของประชาชนให้ไปโจมตีกล่าวหาฝ่ายต่อต้านแทนว่ารัฐบาลทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เลิกชุมนุมอีกหรือ กลยุทธ์นี้ได้ผลในระดับหนึ่งเมื่อนักวิชาการบางกลุ่มเริ่มออกมาตอบรับ รัฐบาลพยายามใช้กลไกรัฐทั้งสื่อทีวีเสรีและป้ายช่วยในการโฆษณาชวนเชื่อสนับสนุนการนิรโทษกรรม มีการนำกลุ่มเสื้อแดงมาแสดงพลังที่ กทม. รัฐบาลหวังว่า หากการชุมนุมยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ประชาชนคนกรุงเทพฯ ก็จะเบื่อไปเองตามแบบคนกรุงเทพฯ ที่มาเร็วไปเร็ว เบื่อง่าย

ในขณะที่แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งใช้การต่อสู้แบบ “อารยะขัดขืน” ตระหนักดีว่า หากชุมนุมยืดเยื้อไปนานเป็นเดือนๆ ผู้ชุมนุมจะเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย บางส่วนอาจหลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล ดังนั้น แกนนำที่ชุมนุมคงไม่ปล่อยให้เกมนี้ยืดเยื้อและหาทางปิดเกมเร็วในจังหวะที่เหมาะสม

คนที่เป็นผู้นำ แม้เป็นเพียงผู้นำของการชุมนุมต้องมองให้ไกลกว่าหัวแม่เท้าของตนเอง ผู้นำต้องมองการณ์ไกล ผู้นำและผู้ชุมนุมอย่าคิดเอาชนะแค่ “ศึก” (Battle) ในสนามรบเท่านั้น แต่ต้องคิดเอาชนะ “สงคราม” (War) อย่าคิดแค่หยุดกฎหมายฟอกผิดฉบับสุดซอย แต่ต้องคิดไปไกลกว่านี้ในการแก้ปัญหาของชาติในระยะยาว รวมทั้งการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลชุดนี้

คนที่ออกมาส่วนใหญ่ไม่พอใจรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกินอย่างมโหฬารอย่างไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนเช่นนี้มาก่อน และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในอนาคตเมื่อมีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และ 3.5 แสนล้านบาท ประเด็นนิรโทษกรรมจุดติดแล้ว แต่อาจอยู่ได้ไม่นานต้องใช้การต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นมาเสริม เพราะเป็นความรู้สึกร่วมและเป็นประเด็นที่สามารถรักษาให้ดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน เป็นการรวมความรู้สึกของประชาชนทุกกลุ่มได้นาน รวมทั้งสามารถดึงองค์กรและสถาบันระหว่างประเทศมาร่วมกดดันรัฐบาลได้อีกด้วย เพื่อเกาะเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่น เราอยากเห็นสถาบัน องค์กร ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน องค์กรต่างประเทศ ร่วมลงสัตยาบันในการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐบาลชุดนี้ เป็นหลักชัยที่จะสู้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ประชาชนที่ออกมาชุมนุมต้องถามตัวเองแล้วว่า จะหยุดอยู่แค่หยุดร่างกฎหมายฟอกผิดเท่านั้นหรือจะเดินหน้าต่อ ก่อนตอบคำถามนี้ลองฟังนิทานที่คุณ “สันทัด กรณี” เล่าให้ฟังมีสาระว่า เจ้าอาวาสพาสีกาเข้ากุฏิยามค่ำคืน ปิดไฟอยู่ด้วยกันดึกดื่น (จนถึงตี 4) ระหว่างนั้นเตรียมทำหรือทำอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ชาวบ้านพบเห็นทนไม่ไหวจึงยกพวกมาประท้วง ตะโกนให้สึกและขับไล่เจ้าอาวาส เจ้าอาวาสตกใจเพราะชาวบ้านรู้ความลับ จึงบอกให้สีกากลับไปทางประตูหลังวัด แล้วเจ้าอาวาสออกมาบอกชาวบ้านว่า ไม่มีสีกาในกุฏิแล้ว ไล่กลับไปแล้ว ตนจะไม่สึกและไม่ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ประชาชนไม่ยอมเพราะเจ้าอาวาสทำผิดศีลอย่างร้ายแรง เป็นอาบัติ เป็นปาราชิกแล้ว ยังไงต้องไล่เจ้าอาวาสให้สึกและออกไปให้ได้

คอลัมนิสต์อีกท่านหนึ่งเล่าว่า คนใช้ในบ้านหลังหนึ่งขโมยทรัพย์สินของนายจ้างและเตรียมหนีออกจากบ้าน แต่บังเอิญนายจ้างมาพบและจับได้พอดี คนใช้จึงคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้นายจ้าง และบอกว่าจะทำงานในบ้านหลังนี้ต่อ เพราะคืนทรัพย์สินให้หมดแล้ว จะเอายังไงอีก ขอมา “เซตซีโร่” กันใหม่ แต่นายจ้างไม่ยอมและไล่ออก เพราะคนใช้ได้ทำความผิดสำเร็จแล้ว หากอยู่ต่อไปนายจ้างคงอยู่อย่างไม่เป็นสุข เพราะระแวงว่าเมื่อไรคนใช้จะขโมยทรัพย์สินไปอีก

หลังอ่านทั้งสองเรื่อง ท่านคงมีคำตอบในใจแล้ว เมื่อรัฐบาลบอกว่าถอนกฎหมายฟอกผิดสุดซอยออกไปหมดแล้ว แล้วยังมาประท้วงอะไรกันอีก ต่อไปรัฐบาลอาจบอกว่าขอโทษแล้ว จะเอายังไงกันอีก คนส่วนหนึ่งอาจเชื่อตามรัฐบาล แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังจะไว้ใจรัฐบาลชุดนี้ต่อไปอีกหรือ เพราะหากอยู่ด้วยกันต่อไป ประชาชนก็อยู่อย่างไม่เป็นสุข เพราะไม่รู้ว่าวันไหนรัฐบาลจะคิดทำชั่วๆ อะไรอีก สิ่งที่รัฐบาลทำเพียงแค่เอาตัวรอดเท่านั้น แต่เราเผลอเมื่อไร มันเอาเราแน่ เราจะเอาแค่ชนะศึก แต่ยังไม่ชนะสงคราม แล้วเราก็ต้องมาแก้ปัญหา เล่นเกมแมวไล่จับหนูแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ ในเมื่อประชาชนตื่นแล้ว จะกลับไปเป็นไทยหลับ ไทยเฉย อีกหรือ

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันอังคารที่ 16 ธ.ค. 68