ส่องโลกมองไทยขัดขืนอย่างไรให้อารยะ!
“อารยะขัดขืน” ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในการเมืองไทย
ทีมข่าวการเมือง
“อารยะขัดขืน” ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในการเมืองไทย หลัง สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศ 4 มาตรการอารยะขัดขืนเพื่อยกระดับการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ปลุกทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชนหยุดงานพร้อมกันทั่วประเทศ บริษัทห้างร้านชะลอการจ่ายภาษีให้รัฐบาล ฯลฯ
อารยะขัดขืน เริ่มต้นถูกนำมาใช้ในปี 2549 เมื่อครั้งการประท้วง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคำนี้ยังคงวนเวียนในเวทีวิชาการ รวมถึงถูกใช้ประกอบการอธิบายปรากฏการณ์สังคมการเมืองไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงวันนี้น่าใคร่ย้อนทบทวนอย่างยิ่งว่า คำนี้มีที่มาจากใด และขัดขืนอย่างไร แบบไหนถึงจะอารยะ?
ในเมืองไทย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการสันติวิธี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เป็นบุคคลแรกที่เสนอให้ใช้คำว่า “อารยะขัดขืน” แทนความหมายของคำว่า Civil Disobedience โดยชัยวัฒน์อธิบายว่า “อารยะขัดขืน” เป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่เป็นทั้งเป้าหมายและตัววิธีการอันเป็นหัวใจของ Civil Disobedience ส่งผลให้การทำให้สังคมการเมืองโดยรวมมีอารยะมากขึ้น การจำกัดอำนาจรัฐโดยพลเมืองด้วยวิธีการอย่างอารยะคือ เป็นไปโดยเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้สันติวิธีแนวนี้ เพื่อให้สังคมการเมืองเป็นธรรมขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น
คุณลักษณะ ของ "อารยะขัดขืน" ในฐานะของปฏิบัติการทางการเมือง 7 ประการ ประกอบด้วย เป็นการละเมิดกฎหมาย หรือตั้งใจจะละเมิดกฎหมาย 1.เป็นการละเมิดกฎหมาย หรือตั้งใจจะละเมิดกฎหมาย 2.ใช้สันติวิธี (ไม่ใช้ความรุนแรง) 3.เป็นการกระทำสาธารณะโดยแจ้งให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า 4.ประกอบด้วยความเต็มใจที่จะรับผลทางกฎหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว 5.ปกติกระทำไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล 6.มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง และ 7.มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรม ซึ่งโดยหลักแล้วเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายและสถาบันทางสังคม
ขณะที่ สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยอธิบายแนวคิดอารยะขัดขืนว่าเป็นปฏิบัติการทางการเมืองที่เป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อกฎหมาย โดยเป็นการกระทำต่อสาธารณะในลักษณะที่ปราศจากความรุนแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายบางประการของรัฐบาล
เป็นที่ยอมรับกันว่าการกระทำในลักษณะเช่นนี้เป็นกระบวนการทางการเมืองอันหนึ่งที่พลเมืองมีสิทธิที่จะกระทำได้แม้จะเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมแบบเสรีประชาธิปไตย แต่ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวก็มิได้เป็นวางอยู่บนเหตุผลที่มุ่งคำนึงถึงสิทธิของผู้กระทำแต่เพียงด้านเดียว
ในประวัติศาสตร์โลก มหาตมะ คานธี ผู้นำการเคลื่อนไหวสันติวิธีแห่งอินเดีย เคยใช้วิธีการต่อสู้รูปแบบ “ดื้อแพ่ง” เพื่อต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดีย โดยเรียกแนวทางของตัวเองว่า "สัตยาเคราะห์" (Satyagraha) หมายถึง การต่อสู้บนรากฐานของความจริงหรือสัจจะ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ค.ศ. 1930 คานธี พร้อมกับผู้ร่วมเดินทางจำนวน 78 คน เริ่มเดินเท้าจากเมือง Sabarmati ไปยังเมือง Dansi เมืองชายฝั่งทะเลที่อยู่ห่างออกไป 240 ไมล์ เพื่อต่อต้านกฎหมายในอินเดียที่ผูกขาดการขายเกลือโดยรัฐบาลอังกฤษ โดยมีชาวเมืองนับพันเข้ามาร่วมเดินจนขบวนยาวหลายไมล์ เมื่อถึงที่หมาย คานธี เริ่มการกระทำการ "ดื้อแพ่ง" โดยขุดดินที่เต็มไปด้วยเกลือ ต้มในน้ำทะเลเพื่อผลิตเกลือ โดยบรรดาผู้ร่วมเดินทางต่างทำตามและช่วยกันผลิตเกลือท้าทายกฎหมาย
การกระทำของคานธีกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก ในขณะที่ชาวอินเดียพากันเลียนแบบ ผลิตและขายเกลือกันอย่างไม่กลัวกฎหมาย ในที่สุด คานธี ถูกจับพร้อมกับประชาชนนับหมื่นคน โดยเขาให้การต่อศาลว่า
".. การที่ข้าพเจ้ามิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่เพราะข้าพเจ้าไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าต้องการปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคำสั่งแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้าพเจ้าเอง..."
เหตุการณ์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า "The Salt March" เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์อินเดีย หลังจากคานธีได้รับการปล่อยตัวออกมา ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้คนอินเดียร่วมกันต่อสู้จนได้รับอิสรภาพใน ค.ศ.1947 ในที่สุด
ขณะที่ สหรัฐอเมริกา การต่อสู้แบบ “ดื้อแพ่ง” ในรูปแบบอารยะขัดขืนโดดเด่นในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิความท่าเทียมกันของคนผิวดำในปี ค.ศ. 1955 เมื่อ โรซา พาร์กส์ ต่อต้านกฎหมายท้องถิ่นที่ระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกัน คนดำจะต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง แต่เธอปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับรถสั่ง เธอจึงถูกจับขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก ทำให้กลุ่มคนผิวดำพากันประท้วง จนกระทั่งรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้ กรณีประท้วงนี้มีชื่อเรียกว่า “การคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี”
นอกจากนั้นยังมีกรณีร้านอาหารหลายแห่งในรัฐทางใต้ ปฏิเสธที่จะให้บริการแก่คนผิวดำ จึงมีการดื้อแพ่งโดยใช้วิธี "ซิทอิน" คือเข้าไปนั่งเฉย ๆ โดยนักศึกษาผิวดำพากันแต่งตัวเรียบร้อย ใส่สูทผูกไทเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่ปฏิเสธคนผิวดำ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปนั่งในทุกที่นั่ง จนไม่มีที่ว่างเหลือ จนกระทั่งร้านนั้นไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ มีการกระทำเลียนแบบไปทั่วทุกรัฐทางใต้โดยมีคนผิวขาวส่วนหนึ่งที่เห็นใจคนผิวดำร่วมขบวนการด้วย
ทั้งนี้ มีการใช้วิธีซิทอินกับสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ทั้งสวนสาธารณะ ห้องสมุด โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับนักศึกษาเหล่านี้ก็ไม่ยอมประกันตัว ต้องการติดคุกเพื่อให้เป็นข่าว และให้เป็นภาระกับเจ้าหน้าที่
การต่อสู้เหล่านี้เพื่อกดดันรัฐบาลกลาง จนนำมาสู่การออกกฎหมายสิทธิเลือกตั้ง ค.ศ. 1965 และกฎหมายสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1968 ที่ให้สิทธิเท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ
ขณะเดียวกันอารยะขัดขืนในไทยนั้น โด่งดังในการเลือกตั้งปี 2549 เมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัดสินใจฉีกบัตรเลือกตั้งของตัวเองทิ้งต่อหน้าสื่อมวลชน หลังจากที่ใช้สิทธิลงคะแนนไม่เลือกผู้ใด
ไชยันต์ ยอมรับว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและพร้อมสู้คดีในทางกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตามไชยันต์ยืนยันสิทธิของตนตามมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญว่าบุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวไปสอบสวน หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์ฉีกบัตรเลือกตั้งในรายอื่นเกิดขึ้นตามมาโดยระบุว่ามีอุดมการณ์เดียวกับอาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ รายนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม "อารยะขัดขืน" มีหลายมิติที่ควรต่อการตระหนักให้รอบด้าน โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล เคยฝากข้อคิดในบทความวิชาการว่า ในกรณีที่มีความคิดเห็นแบ่งแยกกันแบบเด็ดขาดของแต่ละฝ่าย ทำให้การแสวงหาหลักการร่วมกันในสังคมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากลำบาก การใช้อารยะขัดขืนก็อาจเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความวุ่นวายของสังคมมากกว่า เพราะท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากย่อมยากที่จะทำให้เกิดความเข้าใจหรือความตระหนักร่วมกันในความยุติธรรมพื้นฐานของสังคม ในกรณีเฉพาะเช่นนี้จึงทำให้ไม่มีเงื่อนไขในการรองรับการกระทำอันเป็นอารยะขัดขืน
ดังนั้น ในการพิจารณาถึงอารยะขัดขืนจึงไม่ได้มีแง่มุมในด้านของสิทธิของผู้กระทำแต่เพียงอย่างเดียว ตรงกันข้าม แนวคิดเรื่องอารยะขัดขืนให้ความสำคัญกับระบบการเมืองของส่วนรวมหรือระบบกฎหมายโดยรวมไม่น้อยไปกว่ากัน และถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการให้ความชอบธรรมกับอารยะขัดขืน
หากเมื่อใดที่การกระทำนี้อาจนำไปสู่ความล่มสลายของระบบสังคมโดยรวมแล้ว การกระทำที่เรียกว่าอารยะขัดขืน ก็อาจเป็นสิ่งที่ต้องถูกจำกัดเอาไว้ด้วยเช่นกัน
การฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือการต่อต้านรัฐบาลที่เป็นไปได้ในกรณีเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องอื่น เช่น การโค่นล้มระบบการปกครอง การรัฐประหาร หรืออื่นๆ ที่ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นอารยะขัดขืนอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน มหาตมะ คานธี เคยกล่าวเตือนถึงการนำอารยะขัดขืนมาใช้ว่า แม้อารยะขัดขืนจะเป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้เพื่อการล้มล้างรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้อารยะขัดขืนที่ขาดระเบียบวินัยที่จำเป็นของมวลชน จะนำไปสู่ความยุ่งยากซึ่งท้ายที่สุดอาจกลายเป็นความบ้าคลั่งอย่างรุนแรงที่ไม่อาจให้อภัยเลยก็ได้


