posttoday

ส่องโลกมองไทยขัดขืนอย่างไรให้อารยะ!

12 พฤศจิกายน 2556

“อารยะขัดขืน” ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในการเมืองไทย

ทีมข่าวการเมือง 

“อารยะขัดขืน” ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในการเมืองไทย  หลัง สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศ 4 มาตรการอารยะขัดขืนเพื่อยกระดับการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ปลุกทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชนหยุดงานพร้อมกันทั่วประเทศ บริษัทห้างร้านชะลอการจ่ายภาษีให้รัฐบาล ฯลฯ

อารยะขัดขืน เริ่มต้นถูกนำมาใช้ในปี 2549 เมื่อครั้งการประท้วง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคำนี้ยังคงวนเวียนในเวทีวิชาการ รวมถึงถูกใช้ประกอบการอธิบายปรากฏการณ์สังคมการเมืองไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงวันนี้น่าใคร่ย้อนทบทวนอย่างยิ่งว่า คำนี้มีที่มาจากใด และขัดขืนอย่างไร แบบไหนถึงจะอารยะ?  

ในเมืองไทย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการสันติวิธี  คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เป็นบุคคลแรกที่เสนอให้ใช้คำว่า “อารยะขัดขืน” แทนความหมายของคำว่า Civil Disobedience โดยชัยวัฒน์อธิบายว่า “อารยะขัดขืน” เป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่เป็นทั้งเป้าหมายและตัววิธีการอันเป็นหัวใจของ Civil Disobedience ส่งผลให้การทำให้สังคมการเมืองโดยรวมมีอารยะมากขึ้น การจำกัดอำนาจรัฐโดยพลเมืองด้วยวิธีการอย่างอารยะคือ เป็นไปโดยเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้สันติวิธีแนวนี้ เพื่อให้สังคมการเมืองเป็นธรรมขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น

ส่องโลกมองไทยขัดขืนอย่างไรให้อารยะ! ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการสันติวิธี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์

 

คุณลักษณะ ของ "อารยะขัดขืน" ในฐานะของปฏิบัติการทางการเมือง 7 ประการ ประกอบด้วย เป็นการละเมิดกฎหมาย หรือตั้งใจจะละเมิดกฎหมาย 1.เป็นการละเมิดกฎหมาย หรือตั้งใจจะละเมิดกฎหมาย 2.ใช้สันติวิธี (ไม่ใช้ความรุนแรง) 3.เป็นการกระทำสาธารณะโดยแจ้งให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า 4.ประกอบด้วยความเต็มใจที่จะรับผลทางกฎหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว 5.ปกติกระทำไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล 6.มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง และ 7.มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรม ซึ่งโดยหลักแล้วเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายและสถาบันทางสังคม


ขณะที่ สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยอธิบายแนวคิดอารยะขัดขืนว่าเป็นปฏิบัติการทางการเมืองที่เป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อกฎหมาย โดยเป็นการกระทำต่อสาธารณะในลักษณะที่ปราศจากความรุนแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายบางประการของรัฐบาล

เป็นที่ยอมรับกันว่าการกระทำในลักษณะเช่นนี้เป็นกระบวนการทางการเมืองอันหนึ่งที่พลเมืองมีสิทธิที่จะกระทำได้แม้จะเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมแบบเสรีประชาธิปไตย แต่ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวก็มิได้เป็นวางอยู่บนเหตุผลที่มุ่งคำนึงถึงสิทธิของผู้กระทำแต่เพียงด้านเดียว

ส่องโลกมองไทยขัดขืนอย่างไรให้อารยะ! สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

 


ในประวัติศาสตร์โลก มหาตมะ คานธี ผู้นำการเคลื่อนไหวสันติวิธีแห่งอินเดีย เคยใช้วิธีการต่อสู้รูปแบบ “ดื้อแพ่ง” เพื่อต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดีย โดยเรียกแนวทางของตัวเองว่า "สัตยาเคราะห์" (Satyagraha) หมายถึง การต่อสู้บนรากฐานของความจริงหรือสัจจะ

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ค.ศ. 1930 คานธี พร้อมกับผู้ร่วมเดินทางจำนวน 78 คน เริ่มเดินเท้าจากเมือง Sabarmati ไปยังเมือง Dansi เมืองชายฝั่งทะเลที่อยู่ห่างออกไป 240 ไมล์ เพื่อต่อต้านกฎหมายในอินเดียที่ผูกขาดการขายเกลือโดยรัฐบาลอังกฤษ โดยมีชาวเมืองนับพันเข้ามาร่วมเดินจนขบวนยาวหลายไมล์ เมื่อถึงที่หมาย คานธี เริ่มการกระทำการ "ดื้อแพ่ง" โดยขุดดินที่เต็มไปด้วยเกลือ ต้มในน้ำทะเลเพื่อผลิตเกลือ โดยบรรดาผู้ร่วมเดินทางต่างทำตามและช่วยกันผลิตเกลือท้าทายกฎหมาย

การกระทำของคานธีกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก ในขณะที่ชาวอินเดียพากันเลียนแบบ ผลิตและขายเกลือกันอย่างไม่กลัวกฎหมาย ในที่สุด คานธี ถูกจับพร้อมกับประชาชนนับหมื่นคน โดยเขาให้การต่อศาลว่า


".. การที่ข้าพเจ้ามิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่เพราะข้าพเจ้าไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าต้องการปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคำสั่งแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้าพเจ้าเอง..."


เหตุการณ์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า "The Salt March" เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์อินเดีย หลังจากคานธีได้รับการปล่อยตัวออกมา ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้คนอินเดียร่วมกันต่อสู้จนได้รับอิสรภาพใน ค.ศ.1947 ในที่สุด

ขณะที่ สหรัฐอเมริกา การต่อสู้แบบ “ดื้อแพ่ง” ในรูปแบบอารยะขัดขืนโดดเด่นในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิความท่าเทียมกันของคนผิวดำในปี ค.ศ. 1955 เมื่อ โรซา พาร์กส์ ต่อต้านกฎหมายท้องถิ่นที่ระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกัน คนดำจะต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง แต่เธอปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับรถสั่ง เธอจึงถูกจับขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก ทำให้กลุ่มคนผิวดำพากันประท้วง จนกระทั่งรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้ กรณีประท้วงนี้มีชื่อเรียกว่า “การคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี” 


นอกจากนั้นยังมีกรณีร้านอาหารหลายแห่งในรัฐทางใต้ ปฏิเสธที่จะให้บริการแก่คนผิวดำ จึงมีการดื้อแพ่งโดยใช้วิธี  "ซิทอิน" คือเข้าไปนั่งเฉย ๆ โดยนักศึกษาผิวดำพากันแต่งตัวเรียบร้อย ใส่สูทผูกไทเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่ปฏิเสธคนผิวดำ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปนั่งในทุกที่นั่ง จนไม่มีที่ว่างเหลือ จนกระทั่งร้านนั้นไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ มีการกระทำเลียนแบบไปทั่วทุกรัฐทางใต้โดยมีคนผิวขาวส่วนหนึ่งที่เห็นใจคนผิวดำร่วมขบวนการด้วย

ทั้งนี้ มีการใช้วิธีซิทอินกับสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ทั้งสวนสาธารณะ ห้องสมุด โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับนักศึกษาเหล่านี้ก็ไม่ยอมประกันตัว ต้องการติดคุกเพื่อให้เป็นข่าว และให้เป็นภาระกับเจ้าหน้าที่


การต่อสู้เหล่านี้เพื่อกดดันรัฐบาลกลาง จนนำมาสู่การออกกฎหมายสิทธิเลือกตั้ง ค.ศ. 1965 และกฎหมายสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1968 ที่ให้สิทธิเท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ

 

ส่องโลกมองไทยขัดขืนอย่างไรให้อารยะ! ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ขณะเดียวกันอารยะขัดขืนในไทยนั้น โด่งดังในการเลือกตั้งปี 2549 เมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. ไชยันต์ ไชยพร  อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัดสินใจฉีกบัตรเลือกตั้งของตัวเองทิ้งต่อหน้าสื่อมวลชน หลังจากที่ใช้สิทธิลงคะแนนไม่เลือกผู้ใด


ไชยันต์ ยอมรับว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและพร้อมสู้คดีในทางกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตามไชยันต์ยืนยันสิทธิของตนตามมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญว่าบุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวไปสอบสวน หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์ฉีกบัตรเลือกตั้งในรายอื่นเกิดขึ้นตามมาโดยระบุว่ามีอุดมการณ์เดียวกับอาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ รายนี้ด้วย


อย่างไรก็ตาม "อารยะขัดขืน" มีหลายมิติที่ควรต่อการตระหนักให้รอบด้าน โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล เคยฝากข้อคิดในบทความวิชาการว่า ในกรณีที่มีความคิดเห็นแบ่งแยกกันแบบเด็ดขาดของแต่ละฝ่าย ทำให้การแสวงหาหลักการร่วมกันในสังคมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากลำบาก การใช้อารยะขัดขืนก็อาจเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความวุ่นวายของสังคมมากกว่า เพราะท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากย่อมยากที่จะทำให้เกิดความเข้าใจหรือความตระหนักร่วมกันในความยุติธรรมพื้นฐานของสังคม ในกรณีเฉพาะเช่นนี้จึงทำให้ไม่มีเงื่อนไขในการรองรับการกระทำอันเป็นอารยะขัดขืน


ดังนั้น ในการพิจารณาถึงอารยะขัดขืนจึงไม่ได้มีแง่มุมในด้านของสิทธิของผู้กระทำแต่เพียงอย่างเดียว ตรงกันข้าม แนวคิดเรื่องอารยะขัดขืนให้ความสำคัญกับระบบการเมืองของส่วนรวมหรือระบบกฎหมายโดยรวมไม่น้อยไปกว่ากัน และถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการให้ความชอบธรรมกับอารยะขัดขืน

หากเมื่อใดที่การกระทำนี้อาจนำไปสู่ความล่มสลายของระบบสังคมโดยรวมแล้ว การกระทำที่เรียกว่าอารยะขัดขืน ก็อาจเป็นสิ่งที่ต้องถูกจำกัดเอาไว้ด้วยเช่นกัน


การฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือการต่อต้านรัฐบาลที่เป็นไปได้ในกรณีเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องอื่น เช่น การโค่นล้มระบบการปกครอง การรัฐประหาร หรืออื่นๆ ที่ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นอารยะขัดขืนอีกต่อไป


ขณะเดียวกัน มหาตมะ คานธี เคยกล่าวเตือนถึงการนำอารยะขัดขืนมาใช้ว่า แม้อารยะขัดขืนจะเป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้เพื่อการล้มล้างรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้อารยะขัดขืนที่ขาดระเบียบวินัยที่จำเป็นของมวลชน จะนำไปสู่ความยุ่งยากซึ่งท้ายที่สุดอาจกลายเป็นความบ้าคลั่งอย่างรุนแรงที่ไม่อาจให้อภัยเลยก็ได้

ข่าวล่าสุด

เจาะรายละเอียด อย.ปลดล็อก ยา ‘ATMP’ ตามความเสี่ยง 3 ระดับ!