ย้ายสังฆราช แดงไม่สนประณาม ปิดรพ.จุฬาฯรอบสอง
“
ไร้มนุษยธรรม”“ละเมิดหลักการมนุษยธรรม”“น่าละอาย ละเมิดสิทธิของผู้ป่วยและญาติ”“ไม่เคารพเครื่องหมายกาชาด แม้แต่ในภาวะสงครามยังไม่ทำอย่างนี้” ฯลฯเสียงประณามระคนเสียงก่นด่าที่ระงมมาจากทุกทิศทางหลัง พายัพ ปั้นเกตุ นำการ์ดกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กว่า 100 คนไปบุกตรวจอาคาร สก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
สายวันที่ 30 เม.ย. นปช.แถลงขอโทษ พร้อมกับแถไปสดๆ ว่า นายพายัพทำไปเองไม่มีมติ นปช.
“
นปช.ขออภัย จะไม่เคลื่อนไปในบริเวณโรงพยาบาลจุฬาฯ อีก หากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความมั่นใจและเข้ามาดูแลความปลอดภัยให้กับทั้งสองฝ่าย นปช.ก็ขอยืนยันจะไม่เข้าไปบุกรุกอีก” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุจากนั้นได้ยกขบวนไปรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวที่หน้าโรงพยาบาลเมื่อเวลา 14.00 น. โดยปรับขยับแนวตั้งรับไปอยู่ที่ริมรั้วโรงพยาบาล เปิดถนน 3 เลนหน้าทางเข้าตึกฉุกเฉิน แต่เก็บถนนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง นปช.ก็ทำให้โลกตะลึงอีกครั้งด้วยการขนข้าวของมาปิดประตูทางเข้าโรงพยาบาลจุฬาฯ อีกหนหน้าตาเฉย
พร้อมชี้แจงเหตุผลสั้นๆ ว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล สั่ง เพราะเกรงว่าจะเป็นแผนอำพรางของรัฐบาลย้ายคนออกแล้วเอาทหารเข้ามาซ่อนแทน
ไม่สนเสียงประณามของสังคมหรือของแพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม สภาเทคนิคการแพทย์ และสภากายภาพบำบัด เครือข่ายผู้ป่วย ฯลฯ แม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
แม้ว่านางพยาบาลและพนักงานโรงพยาบาลชักแถวออกมาชูป้ายข้อความว่า
“โรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทยเป็นกลาง ยึดถือหน้าที่การดูแลผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดโดยไม่แบ่งแยก โปรดอย่ามารุกล้ำการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ของพวกเรา”คำร้องขอนี้ไม่มีความหมาย
หลังกลุ่มคนเสื้อแดงบุกตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาฯ เพียงวันเดียว ความอลหม่านก็เกิดขึ้นตั้งแต่เช้า
คณะผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ และศิริราช ได้แถลงร่วมกันในตอนเช้าว่า สมควรที่จะทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราชฯ ให้ไปประทับรักษาพระองค์ ณ ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช โดยการถวายการรักษาจะเป็นการปรึกษาหารือและปฏิบัติงานร่วมกันของคณะแพทย์ทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อหารือกันอีกรอบในช่วงเย็นแล้วเห็นว่าควรระงับไว้ก่อน แต่ นพ.อดิสร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ ก็ได้เปิดเผยเรื่องสะเทือนใจพุทธศาสนิกชนว่า ทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งประทับรักษาพระองค์อยู่ที่อาคารวชิรญาณไปประทับที่อาคารว่องวานิชแล้วตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. เพราะถูกรบกวนจากเสียงการชุมนุม
ขณะเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งต้องคอยบริการผู้ป่วยที่จำเป็น บุคลากรที่เหลือทยอยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยนับร้อยส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กและผู้สูงอายุออกจากโรงพยาบาลส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่น
รถพยาบาลคันแล้วคันเล่าแล่นออกจากโรงพยาบาลโดยมีพยาบาลและญาติอุ้มเด็กๆ ไว้ที่อ้อมอก น่าสลดที่แม้แต่เด็กเพิ่งคลอดไม่กี่วันก็ถูกย้ายออกมาพร้อมตู้ควบคุมอุณหภูมิ ทั้งญาติทั้งพยาบาลน้ำตาเปื้อนหน้า
เด็กเล็กอยู่ในสภาพติดเชื้ออีกส่วนหนึ่ง ถูกย้ายจากอาคารเดิมที่รองรับผู้ป่วยที่เป็นเด็กไปอยู่อีกอาคารที่กำลังก่อสร้าง ด้านถนนอังรีดูนังต์
สภาพของอาคารหลังนั้นสีก็ยังทาค้าง อยู่ กลิ่นสีคละคลุ้งไปทั่ว แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องขนย้ายอุปกรณ์จำเป็นในการดูแลเด็กเล็กที่ป่วยติดเชื้อขึ้นมาชั้นบนเป็นการชั่วคราว
บริเวณชั้น 6 ของอาคาร กลายเป็นห้องพยาบาลเด็กที่อยู่ในสภาพติดเชื้อ โดยไม่มีเตียงรองรับเด็กๆ อย่างเพียงพอบางห้องพักมีเด็กแออัดกันนับสิบคน เด็กบางคนนอนบนฟูก บางคนต้องนอนบนเสื่อ ขณะพื้นห้องอยู่ในสภาพปูนเปลือย ยังปูกระเบื้องไม่เสร็จ
“
มีเด็กเล็กที่ป่วยกว่า 100 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กติดเชื้อ และมีโรคเรื้อรัง ต้องย้ายไปอาคารใหม่โดยใช้ชั้น 5 และ 6 เป็นห้องผู้ป่วยชั่วคราว ซึ่งอาคารยังก่อสร้างไม่เสร็จ ไม่มีเตียงผู้ป่วยก็ต้องปูเสื่อให้เด็กอยู่” นพ.อดิสร ระบุท่ามกลางความโกลาหลนั้น นายวิสุทธิ์ รอดเพราะบุญ ปู่ของ ด.ญ.อารยา อายุ 7 วัน กล่าวทั้งน้ำตาว่า โรงพยาบาลแจ้งให้มาย้ายหลานซึ่งสำลักน้ำคร่ำและปอดติดเชื้อไปโรงพยาบาลอื่น
ก่อนหน้านี้เด็กหญิงอารยาถูกส่งมารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ตามคำแนะนำจากแพทย์ว่าที่นี่มีเครื่องมือที่ดีที่สุด
“
เมื่อได้ย้ายมาแล้วก็สบายใจ แต่ตอนนี้รู้สึกพึ่งใครไม่ได้แล้ว พยาบาลบอกให้ทำใจ เนื่องจากการเคลื่อนย้าย จังหวะหนึ่งต้องถอดออกซิเจนออก พยาบาลจะต้องใช้ออกซิเจนที่บีบด้วยมือตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล การเคลื่อนย้ายจะส่งผลกระเทือนต่อเด็ก ผมกลัวมาก ไม่อยากให้หลานเป็นอะไร คนเจ็บคนป่วยไม่มีทางออก กลุ่มผู้ชุมนุมก็น่าจะเว้นโรงพยาบาลไว้สักแห่ง” นายวิสุทธิ์ ระบุคำร้องขอนี้ไม่มีความหมาย น้ำตานี้ไม่อาจจะทำให้ นปช.เปลี่ยนใจ
คุณแม่ลูกแฝดที่ต้องย้ายลูกออกไประบายความในใจว่า นี่มันการเมืองสกปรกเพื่อแย่งอำนาจกัน ไม่ใช่การเมืองเพื่อความสุขของประชาชน
เสียงนี้ใครจะได้ยิน?


