ปัดไทยเป็นภาคีศาลโลกตั้งแต่ปี 05

“สุรพงษ์”ยันไทยไม่ได้เป็นภาคีศาลโลกตั้งแต่ปี 05 พร้อมมอบปลัดกต.ทำความเข้าใจประชาชน

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรณีที่มีกลุ่มต่อต้านออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก หลังจากที่ศาลโลกจะมีคำตัดสินในวันที่ 11 พ.ย.นี้ โดยยืนยันว่าประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่หลังคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 และไม่ได้เป็นภาคี แต่ก็ยังมีกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องความเป็นภาคีอีกครั้งหนึ่งที่กทม. อย่าให้เกิดการโยงใยปลุกกระแสให้คนเข้าใจผิดว่ารัฐบาลยอมรับอำนาจศาลโลก และเพื่อให้คนได้เข้าใจตรงกัน รวมถึงฝ่ายที่เรียกร้องควรศึกษาให้ละเอียด หากศึกษาไม่ดีก็จะชักนำไปในทางที่ผิด แล้วต้องถามกลับไปด้วยว่าไม่รู้สึกละอายใจหรืออย่างไร 

อย่างไรก็ตาม คงไม่ต้องทำความเข้าใจกับฝ่ายค้าน และคงรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะหยุดนำเรื่องนี้มาเล่นเป็นประเด็นการเมือง และอยากให้คิดถึงประเทศชาติ เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร โดยเมื่อฟังนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศกัมพูชา แถลงข่าวก็พูดชัดเจนแล้วว่า หากไม่มีความยุ่งยากตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องขึ้นศาล และเมื่อวันหลังหากฝ่ายค้านได้กลับมาเป็นรัฐบาล ก็จะบริหารงานง่าย ส่วนที่มีบางฝ่ายมองการพบปะกันระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งนี้เป็นการสมยอมกันนั้น ไม่อยากให้คิดว่าทั้งสองฝ่ายมีการฮั้วกันหรือสมยอมกัน การที่มาประชุมหารือกันครั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

“เราไม่ได้ร้อนตัว ไม่ใช่การตีตนไปก่อนไข้ อย่างที่หลายฝ่ายกล่าวหา เราตั้งใจให้พี่น้องทั้งสองฝั่งประเทศ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยจะใช้กลไลของคณะกรรมาธิการร่วม (เจซี) ว่าด้วยความร่วมมือไทย-กัมพูชา พูดคุย และอยากฝากถึงประชาชนคนไทยด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศจะนำเสนอเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคดีปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่ปี 2505 ว่ามีที่มาอย่างไรจนถึงปัจจุบัน โดยจะออกรายการ “ยิ่งลักษณ์ฯ พบประชาชน” ในวันที่ 8 พ.ย.นี้ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจเพิ่มมากขึ้นอย่างไรก็ดี เพราะวันนี้ (28ต.ค.) รัฐบาลเข้ามารับงานแก้ไขปัญหา ไม่ได้เป็นคนก่อปัญหา รัฐบาลในอดีตใครที่ก่อปัญหาไว้ ควรเข้าใจว่าใครทำอะไรไว้ รัฐบาลนี้เพียงแค่มารับงานต่อเท่านั้น ยอมรับว่าเป็นงานที่เหนื่อย เพราะต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น ดังนั้น การถ่ายทอดสดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการขึ้นศาลแต่ละครั้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน” นายสุรพงษ์ กล่าว