posttoday

สำนวนโวหารของศาลฏีกา (2)

09 กันยายน 2556

ผู้ใช้อำนาจปกครองในยุคนี้ ใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต เพียงเพื่อสนองความทะเยอทะยานของนักการเมือง ผู้ใช้อำนาจปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจกลายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว คนที่คิดต่างหรือเห็นต่างจากรัฐบาลหรือนายใหญ่ รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย

ผู้ใช้อำนาจปกครองในยุคนี้ ใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต เพียงเพื่อสนองความทะเยอทะยานของนักการเมือง ผู้ใช้อำนาจปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจกลายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว คนที่คิดต่างหรือเห็นต่างจากรัฐบาลหรือนายใหญ่ รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย

สาเหตุน่าจะมาจากความรู้สึกของเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจให้คุณให้โทษประชาชนใช้อำนาจอย่างเพลิดเพลินจนรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าคนนายผู้ปกครองประชาชน เหมือนคนแก่ชอบอวยพรให้ลูกหลานเรียนหนังสือมาก เพื่อจะได้รับราชการเป็นเจ้าคนนายคน

ในสมัยก่อนเคยมีเรื่องที่ข้าราชการรังแกประชาชนเกิดขึ้นจนมีการฟ้องร้องกันถึงศาลฎีกาและเป็นคำพิพากษาฎีกาที่มีสำนวนโวหารน่าฟังดี ตามคำพิพากษาที่ 753/2455 กว่า 100 ปีมาแล้ว เป็นเรื่องของนายอำเภอที่รังแกราษฎร

เรื่องมีว่า หลังเลิกราชการแล้ว จำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอนั่งกินเหล้ากับพรรคพวกอยู่ที่บ้าน จนเวลาพลบค่ำ โจทก์ขี่ม้าผ่านไป คนซึ่งนั่งอยู่ในหมู่ผู้เสพสุรากันนั้นได้ร้องถามว่า ใคร โจทก์จึงตอบว่า ข้าเอง ซึ่งเป็นคำหยาบไม่มีความเคารพ คนที่นั่งอยู่ในที่นั้น จึงร้องขึ้นว่า ดูถูกนายอำเภอ (คือจำเลย) จำเลยมีความโกรธจึงสั่งให้จับโจทก์ โจทก์ถือใจว่าตนไม่มีความผิดจึงไม่ยอมให้จับ ครั้นเมื่อจับโจทก์ได้แล้ว จำเลยขอดูตั๋วรูปพรรณม้า โจทก์ก็ให้ดูโดยบริสุทธิ์ แต่ยังหาเป็นที่พอใจของจำเลยไม่ กลับซ้ำทุบตีจับมือมัดแล้วตีซ้ำอีก จนมีชาวบ้านออกมาวิงวอนขออย่าให้ตีอีกเลย เพราะโจทก์ถูกตีเจ็บบอบช้ำมากแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นนายอำเภอช่วยบำรุงสุขระงับทุกข์ราษฎร กลับมาข่มเหงราษฎรไม่เป็นธรรม ซ้ำมีหน้าต่อสู้แก้ไปโดยสำบัดสำนวนหลายอุปเท่ห์ มิได้พรั่นพรึงรู้สำนึกผิดแต่นิดเดียว พยายามจะพลิกกฎหมายแผ่นดินให้เป็นชนิดหนึ่งสำหรับผู้ดี ชนิดหนึ่งสำหรับไพร่ คดีอุกอาจ กรรโชกราษฎรร้ายแรงถึงเพียงนี้ ประหลาดใจที่อัยการเจ้าหน้าที่ไม่พูดหยิบยกขึ้นฟ้องร้อง แม้โจทก์จะไม่ยอมมอบคดีให้ว่า ก็ควรฟังคดีกำกับไป จึงชอบด้วยหน้าที่ว่าความแผ่นดิน ในชั้นนี้ฝ่ายโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ก็เพราะมีความกลัวที่ตนเป็นไพร่พลเมืองอยู่ใต้อำนาจ การทารุณร้ายอุกอาจเช่นนี้จะปล่อยให้มีให้เป็นไปไม่ได้ในหน้าที่ราชการจำจะต้องกำราบปราบปรามมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ศาลข้าหลวงพิเศษปรึกษามิให้งดลงอาญาแก่จำเลยนั้นชอบยิ่งนัก แต่เห็นว่าศาลล่างลงโทษจำคุก 1 ปียังเบาไป ไม่สมควรแก่ความผิดที่จำเลยได้กระทำลงนั้น แม้แต่โจทก์ไม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ศาลฎีกาย่อมทรงไว้ซึ่งอำนาจในการแก้ไขบทก็ดี โทษก็ดี อันศาลล่างวางไว้โดยไม่สมควรแก่รูปความและบทพระอัยการ เพราะฉะนั้นจึงให้แก่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี

สำนวนโวหารฉบับนี้ ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่าประทับใจจริงๆ ศาลฎีกาสมัยก่อนมีอำนาจมากกว่าสมัยนี้ แม้ไม่มีการขอให้ลงโทษหนักขึ้น ศาลก็สามารถลงโทษหนักขึ้นได้ ซึ่งกฎหมายในปัจจุบันหากไม่ขอ แม้ศาลอยากลงโทษให้หนักขึ้นก็ไม่สามารถจะทำได้

นอกจากการใช้อำนาจข่มเหงราษฎรตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวแล้ว ในสมัยก่อนก็มีวิธีการจับแพะเหมือนกันกับสมัยนี้ โดยคดีนี้เป็นคดีปล้น ศาลฎีกาก็ได้วางหลักเกณฑ์ไว้อย่างน่าฟังในคำพิพากษาฎีกาที่ 1456/2455 ว่า

“อ้ายจ้อยกับพวกทำร้ายไม่มีใครสงสัย แต่จับมันไม่ได้ ไม่กล้าจับมัน ครั้นมาพบนายพลอยจำเลย ออกจากป่ามีแผลที่คิ้ว นายอำเภอสงสัยตามจับกุมได้ที่โรงยาฝิ่น ต่อมาภายหลังจึงเกิดเป็นจำหน้ากันได้ว่า เป็นพวกผู้ร้ายด้วยผู้หนึ่ง แต่เมื่อแรกพบจำเลยนายรอดก็มิจับมิได้คิดสงสัย วิธีสืบเสาะจับกุมผู้ร้ายชนิดนี้ไม่น่าเลื่อมใส สุดแต่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นให้ได้จับมนุษย์คนหนึ่งมาชำระ ในกรณีเช่นนี้แล้วถือว่าเป็นการเอื้อเฟื้อแก่หน้าที่ ดังนี้เป็นโรคร้ายไม่ควรมีในใจเจ้าพนักงานผู้รักษาท้องที่เลย ควรต้องใช้ความพินิจพิเคราะห์ให้หนักแน่นในกรณีว่ามีจริงหรือหามิได้ เมื่อมีมูลฟ้องก็จึงฟ้อง ควรปล่อยต้องปล่อย ราษฎรจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนในอันใช่ที่ใช่ทาง”

คดีนี้ช่างเหมือนกับวิธีการของพนักงานสอบสวนในปัจจุบันเสียจริงๆ คือแม้จะทราบว่าจริงๆ แล้วใครเป็นผู้กระทำผิด แต่ยังจับไม่ได้ เลยต้องหาจับมนุษย์มาให้ได้สักคนหนึ่ง และเมื่อจับแล้วก็ต้องหาคนที่เกิดจะจำหน้าได้ว่าเป็นผู้ร้ายด้วยการปั้นพยานเท็จ

ลองฟังอีกสำนวนโวหาร เป็นฎีกาเก่าตั้งแต่ ร.ศ. 131 ตามฎีกาที่ 791/131 เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตำหนิโจทก์ว่า “ฟ้องความไม่ตรงไปตรงมา ถอนฟ้องเดิมเสีย แล้วแกล้งเอาความมาแจ้งจำเลยลักทรัพย์มาปะปนรวมชื่อจำเลยเข้าในฟ้องเดียวกัน เพื่อจะจัดให้เป็นความมัวหมองแก่จำเลยอีก 2 คน เพื่อหวังประโยชน์ความเคลือบคลุมในข้อพิพาท เป็นทางชนะคดีที่อัยการฟ้อง ผู้ชำนาญว่าความมีแต่ประสงค์จะแยกข้อกระทงและแยกตัวจำเลยได้เท่าไรยิ่งเป็นคุณ ประเด็นก็ง่ายไม่วกวน คนเล่นสำนวนกระบวนใดอย่างเก่าก่อนดอก เขามักชอบความซับซ้อนทับเขาเคลือบคลุมด้วยหวังหาทางหนีทีไล่กว้างและยุ่งเหยิง ทำราชการว่าความแผ่นดินควรจะเข้าใจหน้าที่ว่าจะต้องรักความยุติธรรมไม่ถือรัดเอาเปรียบแก่คนยาก ไม่พอที่จะให้ความลำบากก็อย่าแกล้งให้มีขึ้น ไม่ใช่ว่าคาดมัดตั้งมวยเป็นคู่แพ้ชนะกับราษฎร ควรเขม้นขมัก แต่ที่จะว่าความให้ได้เห็นจริงกระจ่างปรากฏปลดเปลื้องข้อสงสัยในอรรถคดี ทำดังนี้ดอกได้ชื่อว่าตรงต่อหน้าที่ราชการ”

การตัดสินของศาลฎีกาในสมัยก่อนนั้น จะมีคำคมคำพังเพยเปรียบเทียบเป็นเหตุเป็นผลในการตัดสินคดี แถมยังสอนวิธีปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตรงไปตรงมา ลองมาดูกันอีกสักเรื่อง

คำพิพากษาฎีกาที่ 117/130 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกาย ข้อเท็จจริงจำเลยตบแตะ เพราะเหตุเข้าห้ามมิให้บุตรต่อสู้บิดา เจตนาไม่ทำร้าย ปรากฏแก้ไขว่า อัยการกับเจ้าพนักงานผู้ใหญ่ในตำบลนั้นไม่ค่อยพิเคราะห์สอดส่องหนักเบาในมูลคดี มุ่งจะเอาแต่ใจ อุทธรณ์ฎีกากระหน่ำหนักกันร่มไป ไม่เพียงแต่พอหอมปากหอมคอ ดูเหมือนราวกะว่าเป็นเรื่องร้ายแรงแสนฉกรรจ์ สัตว์ผู้ยากเช่นนี้จะต่อสู้กระไรได้ กว่าถั่วจะสุกงาก็คงไหม้หมด ท่าทีคนในชนบทนั้นๆ จะต้องทรกรรมลำบากในอันใช่ที่ใช่ทางดุจคดีนี้เป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ ขอให้ตั้งสติสังวรและรำลึกไว้ว่า ความเที่ยงธรรมอันประกอบด้วยเมตตาปรานีนี้มีในผู้เป็นใหญ่ ผู้มีอำนาจว่าราชการในแห่งหนตำบลใดๆ ได้ชื่อว่านำความสุขสมบูรณ์มาสู่ประเทศที่นั้นๆ เป็นมิ่งขวัญและกำลังของแผ่นดินท่านที่ยั่งยืน

ถึงสำนวนการเขียนจะไม่ค่อยคุ้นเคย แต่เป็นภาษาที่ไพเราะ เพลิดเพลินดี ถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมที่ควรช่วยกันอนุรักษ์รักษาไว้

ข่าวล่าสุด

ศึกไทย–กัมพูชา สองสมรภูมิ : กับดัก UNSCความเสี่ยงต้องระวัง