ศึกไทย–กัมพูชา สองสมรภูมิ : กับดัก UNSCความเสี่ยงต้องระวัง
การปะทะไทย–กัมพูชาไม่ได้จำกัดแค่สนามรบ แต่ขยายสู่เวทีการเมืองโลก ผู้เชี่ยวชาญเตือน หากไทยกำหนดเป้าหมายรบกว้าง เสี่ยงเปิดทาง UNSC แทรกแซง
KEY
POINTS
- ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาดำเนินไปใน "สองสมรภูมิ" คือ การสู้รบตามแนวชายแดน และการต่อสู้ทางการเมืองในเวทีระหว่างประเทศ
- ยุทธศาสตร์ของกัมพูชาคือการสร้างชัยชนะเชิงสัญลักษณ์เล็กน้อยในสนามรบจริง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เข้ามาแทรกแซง
- ไทยมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและถูกลดทอนอธิปไตยหาก UNSC เข้ามาแทรกแซง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายทางการทูตที่แข็งกร้าวและขาดการสื่อสารกับประชาคมโลก
สมรภูมิรบจริง กับเกมช็อกทางยุทธวิธี
การปะทะต่อเนื่องตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในระยะหลัง ไม่ได้เป็นเพียงการเผชิญหน้าทางทหาร แต่สะท้อนการขับเคี่ยวเชิงยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ชี้ว่า สงครามครั้งนี้ดำเนินควบคู่กันใน “สองสมรภูมิ” คือสนามรบจริง และสนามการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของรัฐไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในสมรภูมิการรบจริง การตรวจพบอาวุธต่อต้านรถถังนำวิถี Gam 102LR บริเวณเนิน 500 ถูกมองว่าเป็นสัญญาณการยกระดับขีดความสามารถของฝ่ายกัมพูชา อาวุธดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งปรากฏในช่วง 1–2 ปี และมีความแม่นยำสูง แม้ไม่ใช่อาวุธชี้ขาดสงคราม แต่ก็เพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงให้ฝ่ายไทยอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แก่นของยุทธศาสตร์กัมพูชาไม่ได้อยู่ที่การชนะเชิงทหารเต็มรูปแบบ หากแต่อยู่ที่การสร้าง “ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์” เพียงเล็กน้อย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ เช่น การทำลายยุทโธปกรณ์สำคัญของไทย หรือการสร้างภาพว่ากองทัพไทยเสียเปรียบ เมื่อได้สัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว กัมพูชามีแนวโน้มจะเร่งผลักดันให้เกิดการหยุดยิง และยกระดับประเด็นสู่เวทีนานาชาติทันที
สมรภูมิการเมืองโลก กับความเสี่ยง UNSC
ในมุมการเมืองระหว่างประเทศ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เตือนว่า ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและไร้กรอบชัดเจน คือเงื่อนไขสำคัญที่เปิดทางให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เข้ามาแทรกแซง เมื่อโลกมองว่าสถานการณ์คุกคามสันติภาพระหว่างประเทศ
หาก UNSC เห็นว่าการสู้รบไม่มีแนวโน้มยุติ มีอำนาจตั้งแต่การเรียกร้องหยุดยิง ไปจนถึงการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพ ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึงการลดทอนอธิปไตยของรัฐที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ กัมพูชายังมีเป้าหมายผลักดันประเด็นเขตแดนเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาล แต่หากมีมติจาก UNSC ก็อาจสร้างแรงกดดันให้ไทยต้องเผชิญต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงขึ้น
ความเสี่ยงดังกล่าวยิ่งทวีขึ้น เมื่อท่าทีของไทยถูกสื่อสารในลักษณะ “ไม่มีพื้นที่ทางการทูตเหลืออยู่” หรือ “ไม่รับการเจรจา” ซึ่งขัดกับหลักกฎบัตรสหประชาชาติที่เน้นการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี ภาพลักษณ์เช่นนี้ทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลก และอาจถูกมองว่าเป็นฝ่ายไม่เปิดช่องทางสันติภาพ
วางหมากเป้าหมายการรบ การทหารควบคู่การทูต
ทั้ง พล.ท.พงศกร และนายรัศม์ เห็นพ้องกันว่า หัวใจของการบริหารความขัดแย้งอยู่ที่การกำหนด “วัตถุประสงค์การรบ” ให้แคบ ชัด และอธิบายได้ เป้าหมายที่กว้างเกินไป เช่น การทำให้สภาพความเป็นปฏิปักษ์ของกัมพูชาหมดไป อาจถูกตีความว่าเป็นการรุกล้ำหรือมุ่งเปลี่ยนแปลงระบอบ ซึ่งเป็นเส้นแดงของประชาคมโลก
ทางเลือกที่เหมาะสมคือ การจำกัดการปฏิบัติการให้อยู่ในยุทธบริเวณชัดเจน และกำหนดเป้าหมายเป็นขั้นตอน ได้แก่ การยึดคืนพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาท และการทำลายอาวุธที่คุกคามพลเรือนไทยโดยตรง การดำเนินการเช่นนี้ทำให้ไทยสามารถอ้างสิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศได้อย่างมีน้ำหนัก
ขณะเดียวกัน ไทยต้องเร่งเสริมการทูตและปฏิบัติการข่าวสารให้ทันเหตุการณ์ ผู้นำฝ่ายการเมืองควรสื่อสารข้อมูลต่อประชาคมโลกอย่างเป็นระบบ ชี้ให้เห็นลำดับเหตุการณ์ การโจมตีเป้าหมายพลเรือน และความพยายามของไทยในการเปิดทางสันติภาพ เช่น การเสนอแนวทางชั่วคราวด้านเขตแดน หรือการใช้กลไกอาเซียนและประเทศมหาอำนาจเป็นตัวกลาง การเดินเกมแบบคู่ขนานเช่นนี้ คือการรักษาพื้นที่ยืนของไทยในทั้งสองสมรภูมิ
ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาไม่ใช่เพียงศึกชายแดน แต่คือเกมการเมืองโลก หากไทยไม่กำหนดเป้าหมายรบให้ชัด และละเลยการทูต อาจตกอยู่ในกับดัก UNSC ที่ต้องแลกด้วยอธิปไตยและต้นทุนสูง
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


