posttoday

เปลือยใจ"จ่าประสิทธิ์"หลังม่านวีรกรรมโฉ่

08 กันยายน 2556

ผมยอมรับว่ามันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเอาผมไปคุยกับเขา เอาเขามารับปากกับผมสิว่าเราจะปฏิรูปการเมืองที่ตัวเราก่อน

โดย...ธรรมสถิตย์ ผลเเก้ว/ชุษณ์วัฏ ตันวานิช

ตกเป็นเป้าสายตาทุกครั้งที่เปิดสมัยประชุมสภา สำหรับ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่มักสร้างวีรกรรมสาดวาทะเชือดเฉือน|กับ สส.ฝ่ายค้าน จนตกเป็นข่าวครึกโครม ตั้งแต่ศึก จ่าประสาท-หน้าคางคก ฝันว่าได้นอนกับรังสิมา จนมาถึงกรณีล่าสุดยกรองเท้าขึ้นหรากลางสภา ฝ่าเสียงโห่ของ สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระหว่างการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ วรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย

“โพสต์ทูเดย์” สัมภาษณ์เปลือยตัวตน “จ่าคนดัง” ย้อนปูมประวัติเส้นทางชีวิต ที่มาที่ไป และเหตุใดจึงต้องใช้กลยุทธ์ต่อกรฝ่ายค้านที่เรียกเสียงต้านดังระงมในโลกไซเบอร์ 

จ่าประสิทธิ์ เล่าปูมหลังว่า เดิมเกิดที่ จ.ศรีสะเกษ พออายุ 3 ขวบ พ่อและแม่ได้ย้ายมาตั้งรกรากใน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ พอจบมัธยมศึกษา สอบติดโรงเรียนตำรวจภาค 7 จ.นครปฐม จึงต้องฝึกเรียน 1 ปี ต่อมาย้ายมารับราชการตำรวจที่ จ.สมุทรสาคร ถึง 23 ปี ก่อนเส้นทางชีวิตจะหักเหเข้าสู่ถนนการเมืองหลังมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย     

“พูดเลยว่าผมเป็นคนบ้านนอก ไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อน เพียงแต่ว่ารักและอยากรับใช้ประชาชนเลยมาสอบเป็นตำรวจ เนื่องจากคุณพ่อเคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน เราเคยติดตามคุณพ่อเวลาลงพื้นที่พบชาวบ้าน ก็เลยซึมซับมา เเต่ไม่เคยคิดจะเข้าสู่เส้นทางการเมือง

...แต่พอถึงจังหวะที่มีการปฏิวัติ ผมยังไม่ได้มองถึงทักษิณเลย (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) แต่ส่วนตัวผมไม่อยากให้มีการปฏิวัติในประเทศไทย เพราะประชาชนถูกยึดอำนาจ เศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ประเทศถอยหลังหยุดอยู่กับที่ แต่ก็ดูสถานการณ์มาตลอด จนกระทั่งเกิดเหตุคนเสื้อเหลืองทำร้าย ขับรถชนเหยียบตำรวจ ถุยน้ำลาย เอาตะบองตีตำรวจ ผมก็รู้สึกว่าผมอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องออกมาต่อต้าน เพราะผมก็เป็นตำรวจ ต้องหาจุดยืนข้างไหนที่เข้าข้างประชาธิปไตย ไม่เอารัฐประหาร ตามแนวคิดของเราด้วย ก็เลยมายืนกับเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงเรียกร้องให้มีการยุบสภา คืนอำนาจให้แก่ประชาชน”จ่าเล่าถึงจุดหักเหของชีวิตก่อนมาเป็นคนเสื้อแดง

“จากนั้นผมก็พากลุ่มตำรวจและแม่บ้านมาหลายสิบคน ถือป้ายว่าตำรวจประชาธิปไตย ตำรวจไม่ทำร้ายประชาชน ปรากฏว่าพี่เต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ก็ตามผมขึ้นเวที ผมเป็นตำรวจคนแรกที่เปิดตัวสู้ หลังจากผมขึ้นเวทีก็บูมทั้งประเทศ เพราะตำรวจก็อึดอัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากนั้นหลังเวทีก็มีแจกเสื้อแดงเป็นหมื่นเลยให้ตำรวจที่มาดูแลความปลอดภัยด้วย

...แต่มีผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือสั่งการมาว่า ทำไมมีตำรวจมาขึ้นเวทีเสื้อแดง ผมก็โดนเรียกไปว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้ง แต่ก็ไม่ย่อท้อ ไม่เคยหยุด ก็ให้เหตุผลว่าผมไม่ได้เอาเวลาราชการไปชุมนุม และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เคารพระเบียบวินัย สุดท้ายสอบสวนผมหลายครั้ง ผมไม่ผิดก็ยุติการสอบสวน”

ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง ชนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลุยขั้วอำมาตย์มาสารพัด แต่จ่าประสิทธิ์บอกว่า ไม่มีครั้งใดจะหนักหนาสาหัสเท่ากับการได้เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทยลงสมัคร สส.ในพื้นที่เขต 6 จ.สุรินทร์ 

“ในสายตานักการเมืองยังไงผมก็ไม่ได้เป็นแน่นอน แต่ทั้งพี่เต้น พี่ตู่ (จตุพร พรหมพันธุ์) พี่น้องเสื้อแดง หรือตระกูลชินวัตรบางท่านก็ดันสุดๆ แต่ชื่อก็หลุดหลายครั้ง พอพรรคตัดสินใจเอาผมตอนเช้า อีก 2 ชั่วโมงก็หลุด บางทีประกาศขึ้นเวทีเสื้อแดง ถ่ายทอดสดบอกว่าเขต 6 จ่าประสิทธิ์ แต่พอลงเวทีชื่อก็หลุดอีก เพราะพรรคตัวเลือกเยอะ มีคนมีเส้นมีสาย มีสตางค์ มีฐานทางการเมือง ผมมันคนไม่มีอะไรเลย แต่สุดท้ายก็ได้ลง

ตอนแรกผมได้ลงเขต 7 มั่นใจว่าผมได้แน่ๆ เพราะพี่น้องผมและคนเสื้อแดงเยอะ แต่ถูกเตะให้ไปลงเขต 6 ไปเจอนักการเมืองเก่าทั้ง ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา และฟาริดา สุไลมาน แข็งปึ้กใน จ.สุรินทร์ เหมือนส่งผมไปแพ้ และยิ่งเขตบุรีรัมย์ สุรินทร์ ไม่ใช่แค่กระแส มันต้องกระสุนด้วย ผมมันไม่มีทั้งกระสุนเเละกระแส แต่อาศัยความเป็นบ้านนอก คลุกดิน เอาชนะใจชาวบ้าน เสน่ห์ในตัวผม คือ อ่อนน้อมถ่อมตน ผมนั่งเสมอชาวบ้านทุกครั้ง น้อยครั้งที่จะนั่งบนโซฟา เก้าอี้ แล้วผมจะนั่งคุกเข่า คนอื่นทำก็ไม่เหมือนผมหรอก เพราะผมมาจากดินจากหญ้า ไม่ได้แกล้งทำ

...ตอนผมไปเยี่ยมท่านทักษิณที่ปักกิ่ง ใครไปใครมาท่านก็วิจารณ์และพูดถึงผมตลอดว่า คนที่ดวงดีที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย คือ จ่าประสิทธิ์ เพราะทางการเมืองมันยากมาก คนรวยร้อยล้าน พันล้าน ทำการเมืองมาสิบยี่สิบปี ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่กว่าจะเล่นการเมืองระดับชาติ แต่จ่าประสิทธิ์ไม่รู้มาจากไหน จู่ๆ จังหวะชีวิตเข้ามาแล้วได้เลย”

ผลชนะเลือกตั้งใน จ.สุรินทร์ เปิดทางให้จ่าประสิทธิ์เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นคู่ปรับกับ สส.ฝ่ายค้านหลายคน โดยเฉพาะ วัชระ เพชรทอง รังสิมา รอดรัศมี บุญยอด สุขถิ่นไทย ผ่านมาเพียง 2 ปี แต่จ่าประสิทธิ์ปล่อยวาทะเรียกแขกนับไม่ถ้วนทั้ง “เจ๊บุญยอด” “รังสิมาฉี่ฉุน” “วัชระหน้าคางคก” “จบรามคำแหงโง่” “ฝันว่าได้นอนกับรังสิมา” และล่าสุดถอดรองเท้าโต้กลางสภาจนคนด่าสนั่นเมือง

“ผมพูดแบบไม่โกหกตัวเองเลยว่า ผมเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ แต่ผมไม่ชอบฝ่ายค้านที่มันเกินไป เล่นเกมได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกเอาวา ผู้หลักผู้ใหญ่หรือ ปชป.คนไหนเป็นคนดี ผมก็ไม่ได้ว่าเขา แต่อย่างยกรองเท้า พูดกันตรงๆ ก็ไม่เหมาะสม แต่ต้องทำ เพราะมันมีเหตุผล

...ตอนที่ร่างกฎหมายเข้าสภา ฝ่ายนั้นเขาประกาศลั่นอยู่แล้วว่าจะขัดขวางทุกวิถีทาง ไม่สนใจข้อบังคับที่คุณร่างขึ้นมา ด่าประธาน ทุบโต๊ะ ชี้หน้าด่า ประท้วงเยอะแยะจนต้องพักการประชุมหลายรอบ ก่อนที่จะยกรองเท้า ไปดูสิว่าผมไม่ได้ขึงขังผมยิ้มใจดีสู้เสือตลอด แต่ฝ่ายค้านหลายคนออกอาการแรง ด่าประธานไม่ได้ ก็หันหลังให้ประธานมาล่อวรชัยที่กำลังอ่านหลักการของร่างแทน

...ฝ่ายนั้นก็ด่าไม่หยุด ไอ้ขี้ข้าทักษิณ ไอ้วรชัย แล้วด่ามาถึงผมด้วย ไอ้จ่าประสิทธิ์ แล้วบุญยอดยกนิ้วกลาง เท่ากับแจกของลับมาด้วย ผมก็นึกในใจ ไอ้ส้นตีน แต่ผมไม่ได้พูดนะ เลยยกรองเท้าขึ้นมาแทน แค่ยกขึ้นมา แล้ววางลง กล้องจับที่วรชัย เลยเห็นแต่ผมกับวรชัย แต่กล้องไม่ได้จับที่ฝ่ายค้านไงว่าพวกเขาทำอะไรบ้าง”

แต่พฤติกรรมมันฉุดภาพลักษณ์สภาเสื่อม? จ่าประสิทธิ์โต้ทันควันว่า “ถ้าผมทำก่อน มันไม่มีเหตุและผลแน่นอน แต่ฝ่ายตรงข้ามทำก่อนและทำมากกว่าด้วย ดังนั้น ถ้าจะเอาประเด็นว่าผมเป็นคนผิดฝ่ายเดียวมันไม่ใช่ แล้วบางครั้งผมต้องเล่นบทนี้ เพราะมันเป็นผมไง ให้คนอื่นด่าแฉดๆๆ ทำผิดข้อบังคับ แล้วไม่ตอบโต้อะไรเลย ก็ไม่ใช่ผมแล้ว”

ถามว่าฟีดแบ็กโจมตีเยอะไหม จ่าประสิทธิ์บอกว่า โชคดีที่เป็นคนไม่ทันสมัย ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก หรือดูข่าวอินเทอร์เน็ต เพราะทำแต่งาน ประชุมเสร็จก็ลงพื้นที่ทันที อ่านแต่ข่าวผ่านหูผ่านตาเล็กน้อย

“ตอนนี้สังคมข้างนอกและข้างในมันไม่เป็นกลาง คนเกลียดเราจะทำดีแค่ไหนก็ด่าเรา ขณะที่บางคน บางกลุ่ม เห็นเราทำก็ถูกใจเหมือนกัน เพราะเขาก็ไม่พอใจว่าฝ่ายนั้นดื้อเหลือเกิน จะประท้วงอะไรกันนักกันหนา แต่ สส.เราไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย แต่ผมยอมรับว่ามันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเอาผมไปคุยกับเขา เอาเขามารับปากกับผมสิว่าเราจะปฏิรูปการเมืองที่ตัวเราก่อน แต่ตอนนี้ให้ผมหยุดก่อนก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนเริ่มต้นก่อน เรียกเขารับปากก่อน แล้วผมจะยอม

...ถามว่ารับรู้ไหม ผมรับรู้ว่าไม่เหมาะสม หลังจากยกรองเท้า ผมลงพื้นที่ในวันกำนันผู้ใหญ่บ้านพอดี มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกว่า 300 คนในห้องประชุม ผมก็แนะนำตัวเลยว่า ผม สส.ประสิทธิ์ ตามที่ท่านได้ฟังการประชุมสภา ท่านก็ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น คือ มีการชูรองเท้า ผมก็ขอโทษด้วย ถ้าสิ่งหนึ่งประการใด ทำให้ท่านคนสุรินทร์เสียชื่อเสียง ผมก็นั่งคุกเข่าก้มกราบขอโทษ โดยที่ไม่ต้องอธิบายเหตุผลเลย เพราะเรารู้ว่ามันเสียชื่อเสียง ไม่เหมาะสม

ปรากฏว่าเขาตบมือดังลั่นห้องประชุม กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเจ้าหน้าที่ ตะโกนมาว่า สส.รองเท้าข้างไหนเบอร์อะไร เราก็ตะโกนถามว่าจะเอาไปทำอะไร เขาบอกซื้อหวย คนก็เฮลั่น คนไม่พอใจก็อาจมีนะ แต่อาจไม่แสดงออก แต่คนที่แสดงออกคือมีแต่คนเชียร์”

แกนนำทวงเนื้อปลาดุก เด้งยกชุดครูฝึก-ผกก.

เปลือยใจ"จ่าประสิทธิ์"หลังม่านวีรกรรมโฉ่

เปิดอกกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่าเป็นคนไม่ยอมใคร หากหนามยอกมา ต้องเจอหนามบ่งกลับ จึงเป็นที่มาของวีรกรรมกระฉ่อนในสภา อย่างไรก็ตาม จ่าสายเลือดแดนอีสานผู้นี้ยังเล่าด้วยว่า นิสัยไม่ยอมคน ไม่ใช่เพิ่งปรากฏในสภา แต่สะสมแต้มมาตลอดช่วงชีวิตตั้งแต่สมัยมัธยม โรงเรียนพลตำรวจ จนเข้ารับราชการสวมเสื้อสีกากีในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร 

“หากเจออะไรผิด ผมไม่ยอมอยู่แล้ว อย่างสมัยมัธยม รุ่นพี่ผมเขาปลูกต้นไม้เป็นแถวยาวบริเวณทางเข้าโรงเรียน ผู้อำนวยการคนใหม่เข้ามาไม่พูดไม่จา มาถึงตัดต้นไม้เรียบเลย ตัดก็ไม่ว่าหรอก ตัดแล้วเอาไปขายผมก็ไม่ว่า แต่เงินก็หายนี่สิเป็นเรื่อง ผมนี่แหละเป็นคนพาพวกเดินขบวนประท้วงผู้อำนวยการในโรงเรียน แล้วสุดท้ายได้ผลได้เงินกลับมาด้วย”

ไม่เท่านั้น จ่าเล่าวีรกรรมต่อว่า “พอมาเข้าเรียนโรงเรียนพลตำรวจ จ.นครปฐม โดยระเบียบวินัยแล้ว ทหาร ตำรวจ ต้องมีวินัย ห้ามประท้วงผู้บังคับบัญชาใช่ไหม แต่ปรากฏว่าเงินเบี้ยเลี้ยงที่เราได้เป็นรายหัว ซึ่งโดนหักเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องค่าอาหารด้วยปรากฏว่า ไอเนื้อปลาดุกที่กินทุกวันได้กินแต่หัวกับหาง ไอตรงกลางๆ ไม่เคยได้กิน ทั้งที่ปลากิโลกรัมละ 80 บาท ก็ซื้อในราคาเต็ม

...พอเรากินข้าว ตักทีไรได้กินแต่หัวกับหาง เเต่พอขึ้นไปดูชุดครูฝึกที่กินข้าวอยู่ชั้นบนปรากฏว่าตัวกลางปลาดุกที่หายไปมันอยู่ที่นั่นเขาให้แม่ครัวสับๆๆ ดึงเนื้อตรงกลางออกให้พวกเขา แล้วเอาแต่กระดูกให้เรากินทุกวัน

...ผมก็นำประท้วงเลย บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้นะ ไม่ถูกต้อง พอตำรวจ 700 กว่านายเข้าแถวหน้าเสาธง เสร็จปุ๊บ เราก็บอกไม่ต้องเข้าห้อง กระจายออกไปไม่ต้องเข้าห้อง ได้กินแต่หัว ได้กินแต่หาง กลางหาย ไม่มีความยุติธรรม เบี้ยเลี้ยงเราแท้ๆ พวกเราไม่ต้องเข้าห้อง พอครูฝึกสั่งซ้ายหัน ขวาหัน เดินเข้าห้องเรียน ปรากฏว่าไม่มีใครเดินไปสักคน เอากับผมสิ” จ่าเล่าพลางยิ้มร่าด้วยความภูมิใจ

“...ผมเป็นคนมีบุญ เวลาพูดอะไรแล้ว มันคงพูดในสิ่งที่ถูกต้องมั้ง รุ่นพี่ หรือผู้ใหญ่ที่การศึกษาสูงกว่า บางทีเราการศึกษาน้อยกว่า เด็กกว่า ยศต่ำกว่า แต่พอเราพูดทุกคนฟัง เชื่อฟังและทำตามเรา พอสุดท้ายไม่มีใครเข้าเรียน เรื่องทราบถึงกรมตำรวจ เขาส่งตำรวจขี่เฮลิคอปเตอร์มาวนดูเลยนะ สุดท้ายผู้กำกับถูกย้าย ครูฝึกก็ถูกย้าย เพราะเนื้อปลาดุก!

“นี่คือผมที่ไม่เหมือนคนอื่น เราไม่ใช่คนดีนะ แต่เรากล้า”จ่าประสิทธิ์ เกริ่นย้ำถึงความชัดเจนในตัวตน ก่อนเล่าวีรกรรมในช่วงรับราชการตำรวจ จ.สมุทรสาคร ว่า “ตอนนั้นผมอยู่ฝ่ายอำนวยการของนโยบายและแผนของจังหวัด ไม่ได้เป็นตำรวจจราจร เพราะผมรู้จักคนมาก ถ้าออกไปตรวจจับรถจับราก็ทำไม่ได้ ก็ดันตัวเองไปทำงานธุรการฝ่ายการเงิน แต่มันมีปัญหาในพื้นที่ สารวัตรบางคนแย่ รีดไถประชาชน รีดเงินพวกรถบรรทุกเกิน สารวัตรคนเก่าไปเก็บเขา 300 บาทต่อเดือน คนใหม่เข้ามาเอาตั้ง 900 ต่อเดือน

...แล้วพวกนี้เขาต้องเคลียร์รายทาง เสียอีกตั้งหลายโรงพัก เขาก็ไม่ไหว ไม่ยอมจ่าย ทีนี้มีการสั่งให้จราจรไปเก็บ เขาก็ไม่จ่าย สั่งชุดสืบสวนไปเก็บเขา|ก็ไม่ให้ เขาบอกว่าถ้าอยากได้ให้จ่าประสิทธิ์มาเก็บ ตำรวจก็ถามไปว่าทำไมให้จ่าประสิทธิ์มาเก็บ เขาก็ตอบว่าเพราะเขาชื่นชมเรา ศรัทธาเรา เขาไม่ชื่นชมผู้กำกับ ไม่ชื่นชมสารวัตร

...พอทีนี้มาสั่งให้ผมไปเก็บ ผมก็ไม่ยอม บอกว่าจะให้ผมไปเก็บทำไม ไม่ใช่หน้าที่ของผม เขาไม่พอใจก็สั่งย้ายผม ปรากฏว่ามีคนเดินขบวนเป็นร้อยเป็นพันที่สมุทรสาคร ไม่ยอมให้ผมโดนย้าย เพราะโดนย้ายไม่เป็นธรรม ส่วนคนที่สั่งย้ายก็โดนเด้งไปพื้นที่อื่น

จ่าบอกว่าสาเหตุที่คนออกมาปกป้อง เพราะตลอดการทำงานในชุดตำรวจไม่เคยเอาเปรียบ แต่เน้นการช่วยเหลือและเข้าใจประชาชน

“ทุกวันนี้ผมไม่ใช่คนดี ผมไม่ฉลาด ผมจบไม่สูงนะ แต่ผมมีโอกาสเป็น สส. เพราะบารมีที่สะสมมา ตอนตั้งด่านตรวจใบขับขี่ บางทีชาวบ้านเขาลืม แต่เจ้านายที่นั่งอยู่ เขาเข้มงวด เราตรวจอยู่ก็แอบบอกว่า ใบขับขี่ไม่มีเหรอ งั้นเอาบัตรประชาชนมาดู ผมก็แกว่งๆ บัตรประชาชน เจ้านายที่นั่งอยู่ เขาจะไปรู้ได้ยังไงไหนใบขับขี่ ไหนบัตรประชาชนถูกไหม ผมก็เลยปล่อยเขาไป

...ทุกวันนี้มีตำรวจชอบจะเอาผลงาน แกล้งยัดของผิดกฎหมายให้ประชาชนบ้าง รีดไถเขาบ้าง แต่ผมไม่เคย เพราะฉะนั้นคำว่า ‘ตำรวจ’ มีแต่คนเกลียดกับกลัว ไม่มีใครรักหรอก จะมีคนรักก็แค่เมียกับแม่ตำรวจเท่านั้นแหละ แม่ยายยังเกลียดเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปกลั่นแกล้งประชาชน สร้างความดีเอาไว้เยอะๆ”

ปรองดองได้จะตัดสูท"แดงเหลืองน้ำเงิน

เปลือยใจ"จ่าประสิทธิ์"หลังม่านวีรกรรมโฉ่

ในฐานะหนึ่งใน สส.ผู้แทนปวงชนปฎิบัติหน้าที่ในสภาที่กำลังร้อนระอุต่อเนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บรรยากาศโกลาหลจนถึงขั้นมีการชกต่อยตำรวจสภา จนถึงกรณีล่าสุด สส.ฝ่ายค้านทุ่มเก้าอี้กลางห้องประชุม เหตุเพราะไม่พอใจที่ สส.เพื่อไทยเร่งปิดญัตติการอภิปรายแก้ปัญหายางพาราตกต่ำ

สส.ประสิทธิ์ ให้ความเห็นว่า “จริงๆ แล้วปัญหาที่ขัดแย้งกัน ถ้ามองกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร ล้วนมาจากนักการเมือง และผู้ใหญ่ที่ยังยึดติดอำนาจและผลประโยชน์ ต่อให้ข้างนอกมีเวทีปฏิรูปการเมืองมันก็ได้ผลแค่ส่วนหนึ่ง เพราะต่อให้ตกลงกันได้ แล้วข้างในสภานี่เห็นไหม เกิดอะไรขึ้น ยังทะเลาะกัน ฉะนั้นมันต้องเริ่มต้นจากที่นี่ในสภาก่อน เอานักการเมืองก่อน เพราะผมว่าประชาชนบางทีมันไม่ยาก

...แกนนำหลักอยู่ที่นักการเมือง ถ้านักการเมืองคุยกันโอเค คุยกันรู้เรื่อง เข้าใจกัน ไปคุยกับประชาชนไม่ยาก คนไทยเป็นคนโกรธง่าย ลืมเร็ว แต่ตราบใดที่นักการเมืองยังเย้วๆ จัดม็อบสวนยางออกมาท้องถนน ถามว่าเขาเดือดร้อนจริงไหมจริง แต่ทำไมอีสานเหนือไม่มาชุมนุม เรารู้กันอยู่ว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง 100%

เคยเรียกเสียงฮือฮาสวมสูทแดงยกชุดเดินเข้าห้องประชุมสภา มาวันนี้จ่าประสิทธิ์ บอกว่า ถึงจะถอดสูทแล้วเพราะเกรงใจประธานสภาฯ แต่นาฬิกา เคสมือถือไอโฟน เนกไทด์ ยันกางเกงในยังเป็นสีแดงไม่แปรเปลี่ยน และหากประเทศไทยปรองดองได้จริง มีไอเดียตัดสูทใหม่รอไว้แล้ว 

“มือถือแดง นาฬิกาแดง ลงพื้นที่นี่คะแนนไหลเลยนะ พอบอกว่ากางเกงในก็แดง เขาไม่เชื่อ แง้มให้ดูนี่เฮกันตรึม แต่ต่อไปถ้าประเทศชาติปรองดองจริงๆ สีไหนใส่ได้หมด ผมคิดแล้วว่าจะตัดสูทเหลืองข้างหนึ่ง แดงข้างหนึ่ง น้ำเงินตรงกลาง คิดมาแล้ว เด่นชัดเลยที่แดงกับเหลือง เพื่อส่วนรวมโดยเฉพาะ”

แม้เวลานี้ชัดเจนว่ายังคงแดงเต็มตัว แต่จ่าประสิทธิ์ บอกว่า ลูกสาววัย 17 ปี มีนักการเมืองในดวงใจ ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่เคยฝืนใจลูก เพราะความชอบเป็นเรื่องส่วนบุคคล ยอมรับความเห็นต่างได้ สะท้อนประชาธิปไตยในครัวเรือน           

“ลูกผมรักอภิสิทธิ์มาก หน้าตาดีเลยชอบ ผมก็ไม่ได้ฝืนลูก ถ้าผมชอบแดงแบบไม่มีเหตุมีผล ผมต้องด่าให้ลูกผมมาเป็นแดงสิ ถูกไหม แต่นี่เขาบอกหนูชอบของหนู หน้าตาดี รูปหล่อ พ่อชอบแดงก็ชอบแดงไปสิ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะความชอบเป็นเรื่องที่ว่ากันไม่ได้

...นี่เขายังอายุ 17 ปียังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ถ้าเขามีสิทธิในเขตที่ผมลงสมัคร เขาคงเลือกผม แต่ถ้าเลือกพรรคนี่ไม่รู้ เขาอาจกาพรรคประชาธิปัตย์”จ่าเสื้อแดงพูดพลางหัวเราะร่วน

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา