posttoday

ไม่คิดแก้มือ แต่ขอแก้ไข

18 สิงหาคม 2556

“บิ๊กบัง” หรือ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ชื่อนี้เป็นที่จดจำของสังคมในหลายอารมณ์และหลากรูปแบบด้วยกัน อันอาจเรียกได้ว่า “บ้างก็รัก บ้างก็ชัง”

โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

“บิ๊กบัง” หรือ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ชื่อนี้เป็นที่จดจำของสังคมในหลายอารมณ์และหลากรูปแบบด้วยกัน อันอาจเรียกได้ว่า “บ้างก็รัก บ้างก็ชัง”

มีคนจำนวนไม่น้อยที่แอบชมชอบอดีตนายทหารผู้นี้ในบทบาทการเป็นผู้ล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549 แต่ระหว่างปี 25542555 ก็มีคนอีกจำนวนพอสมควรที่ไม่ชอบใจ พล.อ.สนธิ เมื่อครั้งสวมบทเป็นประธานคณะกรรมาธิการปรองดองและผู้เสนอกฎหมายปรองดองที่มีเนื้อหาล้มคดีการตรวจสอบนิรโทษกรรมคดีทุจริตในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ

เพราะฉะนั้น พอมาในปี 2556 พล.อ.สนธิ ได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งทั้งในฐานะ “สภาปฏิรูปการเมือง” และ“ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ทำให้มีความน่าสนใจว่าการสวมหมวกทั้งสองใบของ พล.อ.สนธิ มีนัยสำคัญอย่างไร และอดีตนายทหารท่านนี้กำลังคิดอะไรอยู่

พล.อ.สนธิ กล่าวกับ “โพสต์ทูเดย์”ถึงสาเหตุที่เข้ามาอยู่ในสภาปฏิรูปการเมืองอันเป็นแนวคิดของ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ว่า “ท่านวราเทพ รัตนากร โทรมาชวน ผมก็ถามไปว่าเป็นอย่างไร ท่านก็อธิบายให้ผมฟัง พอฟังก็โอเค คิดว่าดี เพราะเห็นว่าประเทศเราไม่สามารถปฏิรูปได้เพราะยังมีอุปสรรคหลายประการ ดังนั้น ถ้าเรามาคุยกันตรงนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นผลประโยชน์ของชาติทั้งนั้น ไม่ใช่ผลประโยชน์ของ พล.อ.สนธิ

...ปัญหาของประเทศ ณ วันนี้ มันเยอะ ทั้งการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นวิกฤตของประเทศทั้งหมด ดังนั้น สภาปฏิรูปก็จะมองว่ามูลเหตุของการทำให้เกิดเงื่อนไขและปัญหามีอะไรบ้าง มันถึงเวลาที่เราต้องมาค้นหาว่ามันมีความผิดพลาดที่ตรงไหน หรือต้องมีอะไรบ้างที่ต้องแก้ไขและปฏิรูป”

คิดอย่างไรถ้าสภาปฏิรูปสรุปว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการรัฐประหาร 2549? พล.อ.สนธิ ในฐานะนำทหารออกมารัฐประหาร ตอบทันทีว่า “เรื่องการปฏิวัติเป็นเรื่องหนึ่ง เขาจะพูดว่าที่ผ่านมามันมีการปฏิวัติ อะไรคือมูลเหตุของการปฏิวัติ สภาปฏิรูปต้องไปหยิบปัญหานี้ขึ้นมาว่าทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีการปฏิวัติ

...ทหารปฏิวัติเพราะอะไร เพราะการเมืองมีปัญหา มีการคอร์รัปชั่น มีการแบ่งพวกแบ่งพ้อง นั่นคือปัญหา เพราะฉะนั้นสภาปฏิรูปจะต้องไปมองต่อว่านั่นแสดงว่าการปฏิวัติมันมีปัญหาเพราะการเมือง เขาจะต้องไปมองอย่างนั้น ไม่ใช่เขาไปหยิบประเด็นปฏิวัติแล้วมาตีกัน แบบนี้ปัญหามันก็ไม่จบสิ ดังนั้น ทุกอย่างมันมีเหตุมีผล แต่ทุกเหตุทุกผลนำมาเป็นบทเรียนเพื่อมาสร้างรูปแบบในการปฏิรูปร่วมกัน อดีตคือบทเรียนที่จะเอามาคุยกัน ไม่ใช่มาหาใครผิดใครถูก แต่เราจะมาหามันผิดเพราะอะไร มันเพราะอะไรถึงผิด”

ขณะที่ พล.อ.สนธิ ระบุว่าส่วนตัวมีข้อเสนอเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของประเทศอยู่ในใจอยู่แล้ว และเตรียมเสนอให้สภาปฏิรูปการเมืองพิจารณา

“ต้องมีมาสเตอร์แพลน (แผนทำงานหลัก) ออกมาเพื่อให้รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ขึ้นมาบริหารประเทศก็ต้องหยิบรูปแบบนี้ขึ้นมาเป็นนโยบาย ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีแผนลักษณะนี้ ทำให้การบริหารประเทศของเราในแต่ละรัฐบาลไม่ต่อเนื่องกัน เพราะว่ารัฐบาลมีนโยบายอะไรออกมาฝ่ายค้านก็ไม่เห็นด้วย พอฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ไม่เอาของรัฐบาลเดิม จนการบริหารประเทศไม่ต่อเนื่อง...

...ต่อมาต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งและทำให้เป็นประชาธิปไตย ปัญหาการเมือง การปกครอง เราเป็นประชาธิปไตยแล้วหรือยัง มีอะไรที่เป็นแล้ว อะไรที่ยังไม่เป็น อันที่ไม่เป็นจะทำอย่างไร เศรษฐกิจทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยแล้วหรือยัง แล้วมีอุปสรรคอะไรบ้าง ทุกอย่างต้องศึกษาทั้งหมด เพื่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศและนำไปทำมาสเตอร์แพลนของประเทศ”

พล.อ.สนธิ เสนอว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้การทำงานของสภาปฏิรูปการเมืองเดินหน้าไปได้อยู่ที่การทำให้สภาปฏิรูปการเมืองครั้งนี้เป็นสภาของประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะมีตัวแทนจากฝ่ายการเมืองเข้ามาอยู่ในสภาปฏิรูปก็ตาม ถ้าทำได้แบบนี้เชื่อว่าสภาปฏิรูปจะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายและช่วยให้การทำงานเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น

“ถามว่าจะไปรอดหรือไม่รอดมันก็ต้องอยู่ที่รัฐบาลจะช่วยขับเคลื่อนแค่ไหนผลผลิตที่ออกมาแล้วรัฐบาลจะรับเอาไปพิจารณาแก้ไขหรือไม่อย่างไร แต่เชื่อว่ารัฐบาลต้องเอาอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของรัฐบาลที่เป็นผู้ริเริ่ม แต่ภาคประชาชนต้องเข้ามามีบทบาทสูงและกดดันให้รัฐบาลทุกรัฐบาลทำตามข้อเสนอสภาปฏิรูป...

...ปัญหาบ้านเราต้องคิดแบบบ้านเรา เราจะไปคิดแบบอเมริกา ยุโรป หรือประเทศใดๆ ไม่ได้ แต่ต้องคิดแบบบ้านเรา เราต้องหยิบวัฒนธรรมไทยมาเป็นตัวตั้งหนึ่ง ประชาธิปไตยของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน สิงคโปร์ก็เป็นประชาธิปไตยแบบสิงคโปร์ เมืองจีนก็บอกว่าประเทศจีนก็เป็นประชาธิปไตยแบบจีน ดังนั้น เราก็ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบเรา”

จากบทสนทนาในฐานะสภาปฏิรูปการเมืองมาถึงการพูดคุยกับ พล.อ.สนธิในบทบาท “ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ก็พบว่ามีความน่าสนใจเช่นกัน เพราะ พล.อ.สนธิ เข้ามามีตำแหน่งในคณะกรรมาธิการได้ในฐานะโควต้าของคณะรัฐมนตรี จึงนำมาสู่ความสงสัยว่า พล.อ.สนธิ กำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างเหมือนกับสมัยเป็นประธานคณะกรรมาธิการปรองดองหรือไม่

พล.อ.สนธิ เล่าสาเหตุที่เข้ามาในคณะกรรมาธิการว่า “คณะรัฐมนตรีไม่ได้ติดต่อให้มาเป็น แต่เพราะคนในกลุ่มของอดีตคณะกรรมาธิการปรองดองหลายคนได้มาชวนให้มาร่วมในคณะกรรมาธิการนิรโทษกรรมด้วยกัน เขาก็บอกว่าเราคิดเหมือนกันก็ขอให้พี่มาช่วยหน่อย ความจริงเขาจะเอามาในโควต้าของพรรคการเมืองเล็ก แต่ยอด สส.ไม่ถึง คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลเลยไปจัดสรรในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีแทน...

พรรคเพื่อไทยมีอะไรกับเราอยู่ในใจก็ได้หรือเปล่า แต่ยังไม่มีใครรู้ แต่ต้องชมเขาว่าพรรคเพื่อไทยกล้าเอาผมเข้าไปข้างใน ต้องยอมรับว่านี่คือความเป็นลูกผู้ชาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี ทั้งที่อาจมีหลายคนยังโกรธผมอยู่ในใจก็ได้ใครจะไปรู้”

ท่านกลับมาในคณะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะต้องการแก้มือหลังจากล้มเหลวจากการสร้างความปรองดอง? พล.อ.สนธิ หัวเราะก่อนตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เกี่ยวกันเลย เรามาเพราะคณะรัฐมนตรีขอให้เรามา เป็นผลประโยชน์ของชาติทั้งนั้น ไม่ใช่ผลประโยชน์ของ พล.อ.สนธิ แต่มาทำงานเพื่อช่วยให้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกฝ่ายเท่านั้น...

มันก็คล้ายๆ กับตอนที่เราทำปรองดอง เพราะเรานิรโทษกรรมเฉพาะคดีทางการเมืองเหมือนกัน เพราะคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีทางการเมืองมันเยอะมากนะ เยอะมากมาย ตั้งแต่ปี 2549 ถูกจับคดีการเมืองเยอะแยะ โดนจับไม่พอ ติดคุกไม่พอ ยังมีประวัติเสียอีก ดังนั้น ถ้าเผื่อว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกมาความผิดทั้งหมดที่มีอยู่ก็จะหายไป ถือว่าทำให้เขากลับมาเป็นคนไทยได้สมบูรณ์แบบ

เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าเวลาคนเราไปสมัครงาน อย่างน้องไปสมัครงานถ้าประวัติมีคดีก็คงจะไม่มีใครรับทำงาน อะไรที่มีอยู่ก็ลบมันทิ้งไปซะ หมายถึงการทำให้เขาได้เป็นคนไทยได้สมบูรณ์แบบ การให้อย่างนี้ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย และเวลานี้ความขัดแย้งสูง เมื่อความขัดแย้งสูงก็ต้องหาทางออก”

ข่าวล่าสุด

คลัง ยันยุบสภาฯไม่สะดุดเศรษฐกิจ ชี้กระทบปี 69 วงจำกัด คาด GDP โต 2%