สารพิษตกค้างในผักผลไม้ที่นำเข้ามาในไทย
สารพิษตกค้างนี้อาจเป็นยากำจัดศัตรูพืช หรือยาฆ่าแมลง หรือทั้งสองอย่างก็ได้ที่เหลือค้างอยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าผักและผลไม้ที่นำเข้ามาในเมืองไทยจากหลายๆ ประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนามีสารพิษตกค้างอยู่
สารพิษตกค้างนี้อาจเป็นยากำจัดศัตรูพืช หรือยาฆ่าแมลง หรือทั้งสองอย่างก็ได้ที่เหลือค้างอยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าผักและผลไม้ที่นำเข้ามาในเมืองไทยจากหลายๆ ประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนามีสารพิษตกค้างอยู่
ผู้เขียนได้อ่านวารสารอาหารและยาฉบับเดือนกันยายน–ธันวาคม 2555 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นสื่อกลางเผยแพร่ผลงานวิจัยและเป็นเวทีทางวิชาการของนักวิชาการ ผู้เขียนจึงเห็นว่าน่าจะนำมาเผยแพร่ต่อ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค
ใครจะคิดว่าผักผลไม้ที่นำเข้าจากประเทศอย่างสหรัฐ ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ ก็ยังมีสารพิษตกค้างอยู่ ข้อมูลที่วารสารดังกล่าวตรวจสอบและลงผลการตรวจสอบไว้นั้น เป็นการตรวจสอบโดยใช้ GT–Test Kit ซึ่งใช้ทดสอบเบื้องต้น และสามารถทดสอบสารพิษตกค้างได้เพียง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออร์กาโนฟอสฟอรัส (Organophosphorons) และกลุ่มคาร์บาเมต (Carbarmate) ไม่สามารถทดสอบสารพิษตกค้างในกลุ่มออร์กาโนคลอรีน (Organochlorine) และกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroid) ได้ ถึงแม้จะทดสอบได้กับสารเพียงสองตัว แต่เมื่อนำผัก 9 ชนิด ได้แก่ กะหล่ำดอก ขึ้นฉ่าย แครอต คะน้า ผักกาดขาว ถั่วลันเตา บรอกโคลี ปวยเล้ง และพริกแห้ง ที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ ในปี พ.ศ. 2551–2552 และปี พ.ศ. 2554–2555 ก็พบว่าผักสดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด คือ คะน้า บรอกโคลี ขึ้นฉ่าย แครอต ถั่วลันเตา และพริกแห้ง จากสาธารณรัฐประชาชนจีน และพริกแห้งจากอินเดีย
ส่วนการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในผลไม้สด 9 ชนิด ได้แก่ แก้วมังกร ทับทิม พลับ แพร์ ส้ม สาลี่ สตรอเบอร์รี องุ่น และแอปเปิล ที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2551–2552 และช่วงปี พ.ศ. 2554–2555 พบสารพิษตกค้างมากที่สุด คือ ส้มและทับทิมจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และสตรอเบอร์รีจากนิวซีแลนด์ ส่วนผลไม้อีก 7 ชนิดนั้น ไม่ใช่ไม่พบสารพิษตกค้าง มีการพบสารพิษตกค้างเช่นกัน แต่ไม่ใช่มากที่สุด ได้แก่ พลับและสาลี่จากสาธารณรัฐประชาชนจีน แก้วมังกรจากเวียดนาม แอปเปิลจากนิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกา
ผักและผลไม้จากจีนนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่พูดกันอยู่บ้าง แต่ที่น่าตกใจก็คือผลไม้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งปกติก็กำหนดมาตรฐานด้านสุขอนามัย (Sanitary and Phytosanitary) ที่สูงและเข้มงวด เช่น เมื่อปี พ.ศ. 2552 สหภาพยุโรปได้ประกาศระเบียบเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าประเภทอาหารสัตว์และอาหารมนุษย์ที่นำเข้าจากประเทศมีความเสี่ยงในการมีสารพิษตกค้างเพิ่มขึ้นอีก ส่งผลให้ผักสดจากไทยจำนวน 3 รายการ คือ ถั่วฝักยาว ผักในตระกูลมะเขือ และผักในตระกูลกะหล่ำ ถูกสุ่มตรวจสอบสารตกค้างจากด่านนำเข้า 50% ของปริมาณสินค้าทั้งล็อต ส่วนผักชีและใบกะเพรา โหระพา สุ่มตรวจสอบ 20% ของปริมาณนำเข้าทั้งล็อต นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มมาตรการตรวจเข้มการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ โดยเฉพาะเชื้อซัลโมแนลลาในผักสดจากไทย 3 รายการ คือ ผักชี ใบกะเพรา โหระพา และใบสะระแหน่ ที่ระดับ 10% ของปริมาณนำเข้าทั้งล็อต
ที่ประเทศผู้นำเข้ากำหนดมาตรการด้านสุขอนามัยเพื่อใช้ในการตรวจสอบการนำเข้านั้น เขาทำได้ตามความตกลงระหว่างประเทศภายใต้องค์การการค้าโลก หรือ WTO (World Trade Organization)
กรณีของไทยก็เช่นกัน หากพบสารพิษตกค้างในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ก็สามารถจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจผักผลไม้ที่นำเข้าได้ น่าเสียดายที่เอกสารวิจัยไม่ได้บอกว่าสารพิษตกค้างนั้นเป็นอันตรายหรือไม่แค่ไหน แต่การระบุว่ามีสารพิษตกค้างสูงก็น่าจะหมายความว่าเกินกว่ามาตรฐานโลก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นประเทศไทยก็สามารถจะห้ามนำเข้าล็อตนั้น และเพิ่มตัวอย่างที่จะสุ่มมาตรวจได้ ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่นๆ เขาก็ทำกันแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ผิดกฎกติการะหว่างประเทศแต่อย่างใด เพียงแต่จะเก็บตัวอย่างมากน้อยแค่ไหนก็คงต้องดูให้ดี เช่น ประเด็นที่ต้องเก็บตัวอย่างมากถึง 50% ของทั้งล็อต อย่างที่สหภาพยุโรปทำนั้น จำเป็นหรือไม่ อาจต้องนำเรื่องความเสี่ยง (Risk) มาพิจารณาประกอบด้วย
ผู้เขียนขอย้ำอีกครั้งว่า ในกรณีที่ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้านั้น กฎกติกาเขามีไว้ให้เล่น ถ้าเล่นไปตามกติกาก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ ไม่ใช่ว่าการที่ไทยจะเปิดเสรีการค้าแล้วจะใช้มาตรการอะไรไม่ได้เลย มาตรการสุขอนามัยไม่ถือเป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NonTariff Measure / NTM) NTM ก็ส่วน NTM เป็นคนละเรื่องกัน ประเด็นสำคัญ คือ เราได้ตรวจสอบผักผลไม้ที่เราผลิตเองอย่างเข้มงวดด้วยหรือไม่ แค่ไหน มีการสุ่มตัวอย่างมากน้อยเพียงใด หากจะทำกับสินค้านำเข้าก็ต้องทำกับสินค้าที่ผลิตในประเทศให้เท่าเทียมกัน ยกเว้นว่าตรวจสอบแล้ว ของเราไม่มีสารพิษตกค้าง รับประกันได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กรณีที่ไทยเป็นผู้ส่งออกและต้องเจอกับมาตรการที่เข้มงวดจนเกินไปจากประเทศผู้นำเข้าก็เช่นกัน เราก็มีสิทธิลุกขึ้นมาร้องเรียน ต่อสู้ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ อย่าปล่อยให้เขาต่อยเอาๆ ข้างเดียว


