posttoday

การตอบสนองความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในอนาคต (1)

26 กรกฎาคม 2556

ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผมคิดว่าพวกเราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ราคาของทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน อาหาร สินค้าโภคภัณฑ์

โดย...โชติชัย สุวรรณาภรณ์

ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผมคิดว่าพวกเราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ราคาของทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน อาหาร สินค้าโภคภัณฑ์ มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นมากและยิ่งมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งผมเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สะท้อนได้อย่างหนึ่งว่า หากมวลมนุษยชาติไม่ร่วมมือกันปฏิวัติแนวทางและวิธีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลก และร่วมหาแนวทางการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาข้อจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อคุณภาพชีวิตและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ

ทั้งนี้ อนาคตวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราจะถูกกำหนดโดยวิธีที่เราจัดหาและเลือกใช้ทรัพยากรที่จำเป็นต่างๆ อีกทั้งสภาพสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ยังจะต้องแบกรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความพยายามของมนุษย์ในการค้นหาทรัพยากรธรรมชาติแหล่งใหม่ๆ เช่น การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่จะเข้าถึงได้ยากมากขึ้น และความท้าทายของการผลิตไฟฟ้าและน้ำสะอาดที่เพียงพอสำหรับใช้ในชุมชนเมืองที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

นักปรัชญาชาวอังกฤษ นายโทมัส มัลธัส (The Reverend Thomas Robert Malthus) ได้เคยเขียนบทความชื่อ An Essay on the Principle of Population ที่มีชื่อเสียง โดยตั้งข้อสังเกตว่า โลกเรามีทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะรองรับการเติบโตของประชากรบนโลกได้ โดยที่ความต้องการบริโภคอาหารของมนุษย์โลกที่เพิ่มขึ้นจะเป็นภัยคุกคามต่อการใช้ทรัพยากร อันจะทำให้เกิดความยากจนและความอดอยากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไป 200 กว่าปี จากคำทำนายของนายมัลธัสฯ ได้พิสูจน์ว่า สิ่งที่นักปรัชญาผู้นี้เขียนไว้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะมีสาเหตุหลักจากการปฏิวัติเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรที่เกิดขึ้นในโลก ทำให้เรามีผลผลิตมากมายออกสู่ตลาด สามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นได้ในช่วงที่ผ่านมา

ในช่วงที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์เชื่อกันว่า กลไกตลาด (Market mechanism) ได้เป็นปัจจัยสร้างประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรในระดับหนึ่ง ซึ่งหมายถึงราคาที่สูงขึ้นได้เป็นตัวแปรทำให้คนใช้ทรัพยากรน้อยลง ซึ่งเมื่อเราย้อนกลับไปดูในอดีต ก็จะพบว่าเป็นไปตามนั้นจริงอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมแล้ว ผมยังคิดว่า ราคาโดยเปรียบเทียบ (Relative prices) ของทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นราคาอาหาร ราคาน้ำ ราคาพลังงาน ราคาเหล็ก ต่างก็ปรับตัวลดลง แม้ความต้องการใช้ทรัพยากรเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก แต่โชคดีที่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ในการหาแหล่งทรัพยากรใหม่ๆ และการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีที่ดีขึ้นสามารถใช้ขยายโอกาสในการผลิตทรัพยากรเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมานั้นถือเป็นความโชคดีที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งผมยังเชื่อว่า อดีตที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าอนาคตของโลกเราจะสดใสนะครับ เพราะเราจะเห็นได้ว่าเมื่อในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดทำให้ความต้องการทรัพยากรจากตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีนและอินเดีย ได้ก่อให้เกิดปัจจัยความเสี่ยงที่จะทำให้โลกต้องขาดทรัพยากรหรือมีทรัพยากรที่ไม่เพียงพอในอนาคต ซึ่งเราจะเห็นได้จากราคาของทรัพยากรต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นและมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ องค์กรระหว่างประเทศหลายสำนักต่างประเมินกันว่า ต่อจากนี้ไปประชากรโลกอีกกว่า 3,000 ล้านคน จะยกระดับเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง (Middle class) ซึ่งแน่นอนว่าจะก่อให้เกิดความต้องการใช้ทรัพยากรอย่างมากในช่วงเวลาที่การจัดหาทรัพยากรใหม่ๆ เป็นเรื่องที่ยากขึ้นมากและมีราคาสูงขึ้น ทำให้ผมคิดว่าภาวะความไม่สมดุลของอุปสงค์อุปทานของทรัพยากรนี้ อาจจะมีความเสี่ยงที่จะส่งผลเชื่อมโยงต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นๆ อีกทั้งการเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อมจากการขยายตัวของการบริโภคทรัพยากร โดยเฉพาะทรัพยากรอาหารและพลังงานจะยิ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆ ในโลกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติ เป็นต้น

ผมคิดว่า แนวทางการรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่นี้ จำเป็นที่เราจะต้องปฏิวัติวิธีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งจะต้องมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นในกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดของการบริหารจัดการทรัพยากรที่ครอบคลุมถึงการจัดหาแหล่งทรัพยากร และการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ยากอยู่พอสมควร และต้องใช้เม็ดเงินลงทุนอีกมหาศาล

โปรดติดตามตอนจบในวันศุกร์หน้า

ผมคิดว่า แนวทางการรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่นี้ จำเป็นที่เราจะต้องปฏิวัติวิธีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งจะต้องมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นในกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดของการบริหารจัดการทรัพยากรที่ครอบคลุมถึงการจัดหาแหล่งทรัพยากร และการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ยากอยู่พอสมควร และต้องใช้เม็ดเงินลงทุนอีกมหาศาล ซึ่งเราจะดูได้จากเม็ดเงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลปัจจุบันได้เสนอในการที่จะปรับปรุงระบบขนส่งของไทยที่จะให้ใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเม็ดเงินลงทุนกว่า 3.5 แสนล้านบาทที่จะนำมาพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบชลประทานของประเทศ

ในระยะสั้น ผมคิดว่า พวกเราควรดำเนินการก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงแนวทางและวิธีการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนมากขึ้น เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ โดยรัฐบาลอาจจะต้องสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของสถานที่ปรับปรุงอาคาร ลงทุนในฉนวนกันความร้อนที่ดีขึ้น และลงทุนในเครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ประการที่สอง แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ผลิตอาหารได้ในปริมาณที่มาก แต่เราก็ควรที่จะช่วยกันลดปริมาณการสูญเสียของอาหารที่เกินความจำเป็น ทั้งนี้ นักวิชาการต่างๆ คาดกันว่า โลกของเราต้องสูญเสียปริมาณอาหารเกินความจำเป็นคิดเป็นปริมาณกว่า 10 ล้านตันในทุกๆ วัน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 2030 ของปริมาณอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต ทั้งนี้ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะมีอาหารสูญเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างการบรรจุผลิตภัณฑ์ การจัดจำหน่ายและการบริโภคอย่างสิ้นเปลือง ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะมีการสูญเสียอาหารหลังการเก็บเกี่ยว เพราะเครื่องมือเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรที่ไม่เพียงพอและโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดประสิทธิภาพในการกระจายสินค้าต่างๆ ซึ่งมีการประเมินว่า หากโลกเรามีระบบการจัดเก็บแช่เย็นที่ทันสมัย??และระบบขนส่งที่ดีจะสามารถช่วยลดการเน่าเสียของอาหารได้มากกว่าร้อยละ 60 ของปริมาณที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ประการที่สาม ผมอยากเห็นยานพาหนะรุ่นต่อไปจะต้องเน้นประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรือระบบผสมไฮบริด ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีในการผลิตแบตเตอรี่และเครื่องยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ รถยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันก็มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งเช่นกัน ผมคิดว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจแห่งอนาคตของผู้ผลิตรถยนต์ที่สามารถมีนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ได้

สุดท้ายนี้ ในส่วนของการกำหนดนโยบายสาธารณะ ผมเห็นว่า รัฐบาลควรพิจารณาดำเนินการ 4 ด้าน คือ (1) ลดการอุดหนุนสินค้าต่างๆ ที่ให้ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (2) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ (3) สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมให้แก่กลุ่มคนยากจนให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และ (4) ให้องค์ความรู้แก่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ในอดีตที่ผ่านมา เราอาจไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการผลิตและการใช้ทรัพยากรมากนัก ทำให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่การสะสมทุนและแรงงาน ซึ่งนำไปสู่การสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด แต่ในอนาคตต่อจากนี้ไปข้างหน้า ผมคิดว่า “กลไกการพัฒนาของเศรษฐกิจโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นเป็นไปได้ยากขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขาดแคลนของทรัพยากรโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรจะต้องเป็นหัวใจของนโยบายสาธารณะและเป็นกลยุทธ์สำคัญทางธุรกิจแห่งโลกในอนาคตครับ"

ข่าวล่าสุด

CardX มอบเงินบริจาคห้าแสนบาทแก่สภากาชาดไทยเพื่อเร่งฟื้นฟูเยียวยาและช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย