มลพิษทางเสียง : ปัญหาที่ถูกลืม
หลังการรณรงค์ด้านสารพัดปัญหาสิ่งแวดล้อมสิ้นสุดลง ความสนใจและตระหนัก ถึงเรื่องดังกล่าวก็มักจะสิ้นสุดลงไปด้วย ปัญหานี้เป็นเรื่องที่น่ากุมขมับ
โดย...ธเนศน์ นุ่นมัน / ภาพ เอเอฟพี
หลังการรณรงค์ด้านสารพัดปัญหาสิ่งแวดล้อมสิ้นสุดลง ความสนใจและตระหนัก ถึงเรื่องดังกล่าวก็มักจะสิ้นสุดลงไปด้วย ปัญหานี้เป็นเรื่องที่น่ากุมขมับ น่ากังวลสำหรับนักสิ่งแวดล้อมทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาพบว่า หลายปัญหานอกจากยังคงดำเนินอยู่ สะสมตัวเองต่อไป แม้ผู้คนจะเลิกให้ความสำคัญหรือละเลยที่จะใส่ใจไปแล้ว ปัญหาหลายด้านจะยังแปลงร่างทั้ง เป็นหายนะภัยที่แฝงตัวซุ่มซ่อนอยู่รอวันสำแดงฤทธิ์ และเป็นมลภาวะที่ขยันขันแข็งในการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ค่อยๆ กัดกร่อนทุกสิ่งรอบตัวเราไปอย่างช้าๆ สม่ำเสมอ
ปัญหามลภาวะเป็นพิษ หลายด้านทวีความรุนแรงขึ้นเพราะการรณรงค์ที่ล้มเหลว ไม่สามารถสร้างจิตสำนึกให้ระแวดระวังอย่างต่อเนื่องได้ ร่ายไปตั้งแต่ ปัญหา ดินเสื่อมคุณภาพ ยาฆ่าแมลง น้ำเสียจากโรงงาน คราบน้ำมันที่ลอยอยู่ในทะเล ที่ใกล้ตัวเข้ามาอีกโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ก็คือ มลพิษทางเสียง ที่แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามที่จะแก้ไขอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่สามารถหามาตรการที่เท่าทันกับปัญหา รับมือกับที่ทะลักมาจากทุกสารทิศได้
สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตจากกรณีดังกล่าว ว่า มลภาวะด้านเสียง เป็นเรื่องที่ถูกละเลยไปอย่างน่ากังวล และนับวันยิ่งเพิ่มขึ้นและขาดมาตรการกำกับดูแลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยปกติแล้ว มลพิษด้านนี้ หมายถึง เสียงที่ดังเกินความจําเป็น จนก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพทั้งจาก การคมนาคม ยานพาหนะทุกชนิด ต่างแผดเสียงอยู่ตามท้องถนนและทางสัญจรทุกเส้นทาง เช่น จักรยานยนต์ รถสามล้อตุ๊กตุ๊ก มีระดับเสียง 35 เดซิเบล รถยนต์ 25-60 เดซิเบล รถบรรทุก 95-120 เดซิเบล รถไฟ ในระยะห่าง 100 ฟุต 60 เดซิเบล เครื่องบิน มากที่สุดอยู่ที่ 100140 เดซิเบล
สํานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กําหนดค่าระดับเสียงในชุมชนที่อยู่อาศัยว่า เวลากลางวันไม่เกิน 60 เดซิเบลและกลางคืน 55 เดซิเบล ขณะที่ข้อกําหนดขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ระดับเสียงที่ปลอดภัยคือ ไม่เกิน 85 เดซิเบล แต่ไม่ว่าข้อกำหนดดังกล่าวจะถูกละเลยเพียงไร สังคมไทยซึ่งอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยก็ร้องเรียนว่าถูกละเมิดเรื่องมลภาวะทางเสียงน้อยมาก
อาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาฯ แจกแจงว่า เสียงเป็นมลภาวะ ที่ถูกพูดถึงน้อยที่สุด เคยมีนักวิทยาศาสตร์จากประเทศสิงคโปร์ นำอุปกรณ์วัดเสียงมาตรวจวัดบริเวณ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง พบว่า ในช่วงเวลาชุลมุนในตอนกลางวัน มีการใช้เสียงจากใช้เสียงจากเครื่องขยายเสียง สูงถึง 115 เดซิเบล ซึ่งเป็นระดับที่ได้ยินเกิน 5 นาทีก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทันที
ทั้งนี้ หากสัมผัสเสียงในระดับมากกว่าระดับความปลอดภัยที่กำหนดเกินวันละ 8 ชั่วโมง อันตรายจะเกิดขึ้นทันทีต่อจิตใจทำให้เกิดอาการหงุดหงิด รําคาญใจ เครียด อารมณ์เปลี่ยนแปลง สูญเสียสมาธิ หรือเลวร้ายที่สุดคืออาจทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ยังไม่นับถึงผลต่อร่างกายที่จะทําให้หัวใจเต้นแรง อัตราการหายใจเปลี่ยนแปลง เกิดกรดในกระเพาะมากกว่าปกติ ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อกระตุก เกิดอาการนอนไม่หลับ และแน่นอนที่สุดจะส่งผลโดยตรงให้ประสาทหูเสื่อม อาจทําให้หูพิการ หูตึง หูหนวก
“ข้อน่าสังเกตจากผลกระทบจากมลภาวะทางเสียงที่เห็นชัด คือจากโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่ติดถนนใหญ่ที่ไม่มีมาตรการป้องกันเสียง จะเห็นได้จาก เด็กเล็ก เสียงที่ดังจะกระตุ้นให้พวกเขาต้องตะโกนแข่งกับเสียงรอบตัว เพื่อสื่อสารระหว่างกัน เมื่อกลับไปบ้าน ก็มีพฤติกรรม พูดเสียงดังกับพ่อแม่ จนพ่อแม่ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชอบตะโกนหรือใช้น้ำเสียงอย่างค่อนข้างก้าวร้าว” สธน กล่าว
ขณะที่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับคนทั่วไปในเมืองใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยเรียนและวัยทำงาน คือ เมื่ออยากหลีกเลี่ยงเสียงจากภายนอก ก็จะหันไปใช้หูฟังๆ เพลง สิ่งที่พบบ่อยคือ เมื่อหูฟังดังกล่าวป้องกันเสียงจากบรรยากาศภายนอกไม่ได้ ผู้ใช้ก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการเปิดเพลงเร่งวอลลุมให้ดังขึ้น ผลก็คือ ต้องอยู่กับเสียงที่ดังยิ่งขึ้นไปอีกซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้ยินยิ่งขึ้นตามไปด้วย
หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับมลภาวะด้านนี้มากขึ้น เพราะจะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ช่วยลดปัจจัยสร้างความเครียดให้กับประชาชน เมื่อเร็วๆ นี้หนังสือพิมพ์ ไชน่า เดลี่ เสนอข่าวว่า รัฐบาลจีนก็เริ่มขยับเรื่องยนี้อย่างจริงจังมากขึ้นโดยออกระเบียบข้อบังคับใหม่ เพื่อคุมเข้มระดับความดังของเสียงให้ลดลงภายใน 5 ปีนี้ เพื่อแก้ปัญหามลภาวะทางเสียงที่เพิ่มขึ้น
โฆษกกระทรวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของจีน ระบุว่า รัฐบาลได้ประกาศข้อกำหนดใหม่ การควบคุมความดังของเสียงที่มาจากการคมนาคม การก่อสร้าง อุตสาหกรรมและครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยระบุอีกว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมืองใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ปัญหานี้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
จีนประกาศว่าข้อกำหนดดังกล่าวจะถูกกำหนดไว้ในประกาศร่วมจาก 11 กระทรวง หรือเรียกได้ว่าควบคุมเสียงอย่างรอบด้าน ครอบคลุมที่สุด ทั้งจากรถไฟความเร็วสูง และเครื่องบิน รวมถึงติดตั้งฉนวนกั้นเสียงตามถนนทางหลวงในย่านที่มีผู้คนอยู่อาศัย ควบคุมเขตก่อสร้างในเมืองจะต้องทำเรื่องขออนุญาตในการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดเสียงดัง ขณะเดียวกัน จะมีการกำหนดให้รัฐบาลแต่ละเมืองคุมเข้มการตรวจสอบระดับความดังของเสียงบริเวณเขตก่อสร้าง และกำหนดชั่วโมงการทำงานก่อสร้าง
นอกจากนี้ จะไม่อนุญาตให้ร้านขายสินค้าใช้เครื่องขยายเสียงในการเรียกลูกค้าสนับสนุนให้บรรดาเจ้าของร้านที่ขายสินค้าในตลาดกลางแจ้ง ย้ายเข้ามาขายสินค้าภายในอาคาร หากพบว่า กิจกรรมการค้าขายส่งเสียงดังรบกวนผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียงมากเกินไป และบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎข้อบังคับ โดยมีระดับความดังของเสียงเกินมาตรฐาน จะต้องถูกปรับ
ข่าวยังระบุอีกว่า รัฐบาลจีนได้กำหนดให้ 113 เมือง ระบุแหล่งมลภาวะทางเสียงออกมาเป็นรายงาน ภายในสิ้นปีนี้ และติดตั้งอุปกรณ์วัดความดังของเสียง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดมลภาวะทางเสียงให้ได้มากที่สุดภายในปี 2558
จีนเริ่มขยับเรื่องนี้แล้ว บ้านเราก็น่าทบทวนเรื่องนี้บ้าง ถ้าลดปัจจัยก่อความเครียดลงไปได้อีกเรื่อง ก็อาจจะช่วยให้เห็นทางออกของปัญหาอื่นๆ อีกสารพัดเพิ่มขึ้น ก็เป็นได้


