สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 8 ผู้ให้กำเนิดพระกริ่งปวเรศ
พระเกียรติยศและอุโฆษนามของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฤกษ์) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 8
โดย...สมาน สุดโต
พระเกียรติยศและอุโฆษนามของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฤกษ์) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ที่ประชาชนกล่าวถึงมีหลากหลาย เพราะทรงริเริ่มพิธีต่างๆ ให้ถือปฏิบัติถึงปัจจุบัน และทรงเป็นผู้ประทานกำเนิดพระกริ่ง ที่รู้จักกันในนามพระกริ่งปวเรศ ที่ยังมีผู้นิยมและถามหาเสมอ
ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตพระองค์แรก และน่าจะเป็นพระภิกษุเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่พระองค์แรกที่ไปสวดญัตติเป็นพระธรรมยุต ตามพระวชิรญาณเถระ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4)
มิใช่เท่านั้น ยังทรงมีความเชี่ยวชาญภาษาบาลีถึงขนาดมีพระนิพนธ์ทางวิชาการเรื่อง สุคตวิทตถิวิธาน เมื่อ พ.ศ. 2388 ในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 พระนิพนธ์เรื่องนี้ทรงวิเคราะห์ และอธิบายเรื่อง คืบพระสุคต (มาตราวัดครั้งพุทธกาล) ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศลังกา ในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 สำหรับประเทศไทยนั้นเพิ่งจะมารู้จักพระนิพนธ์เรื่องนี้เมื่อต้นรัชกาลที่ 7
ในกรณีนี้ต้องยกย่องให้พระองค์ท่านทรงเป็นนักวิชาการที่มีผลงานนานาชาติพระองค์แรกของสยามประเทศ
พระกริ่งปวเรศ
เรื่องที่พระองค์ทรงเป็นปฐมกำเนิดพระกริ่งปวเรศนั้น พินัย ศักดิ์เสนีย์ เขียนไว้ในเรื่อง พระเครื่องรางของขลัง ว่ารูปแบบพุทธปฏิมากรองค์น้อยที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่าพระกริ่งนั้น ได้ต้นแบบจากพระปทุมของราชวงศ์กัมพูชา โดยเจ้านายเขมรที่อุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร เลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติ และปฏิปทาว่าเป็นพระเถระที่ทรงคุณ เป็นที่ถูกพระทัยพระราชวงศ์กัมพูชา จึงอาราธนาให้สร้างพระปฏิมากรขนาดเล็ก เหมือนกับพระปทุมสุริยวงศ์ ปฐมมหาราชวงศ์แห่งกัมพูชา ที่ได้สร้างพระกริ่งพระปทุมแต่ครั้งกระโน้น
ส่วนกริ่งที่อยู่ในองค์พระนั้นเรียกว่า ผลคุณ จารึกพระนามพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ คือ
พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระโคตมะ
ถ่อมพระองค์
ในช่วงรัชกาลที่ 5 แม้ว่าพระองค์จะมิได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทันทีหลังจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2396 แต่ได้รับการสถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2435 ทรงดำรงตำแหน่ง 10 เดือนก็สวรรคต 28 ก.ย. 2435 ในรัชกาลที่ 5 นั้น เป็นเพราะพระองค์ทรงถ่อมพระองค์ ปฏิเสธที่จะรับการสถาปนา ดังที่หนังสือสมเด็จพระสังฆราช 19 พระองค์เขียนว่า
ความจริงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชปรารภที่จะถวายมหาสมณุตมาภิเษกพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แต่พระองค์ไม่ทรงรับ ทรงถ่อมพระองค์อยู่ว่า เป็นพระองค์เจ้าในพระราชวังบวรฯ จักข้ามเจ้านายที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ อีกทั้ง ทรงเจริญพระชนมมายุกว่าก็มี จักเป็นที่ทรงรังเกียจ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเลื่อนพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2417 แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงรับถวายมหาสมณุตมาภิเษกในที่สมเด็จพระสังฆราช แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ถวายพระเกียรติยศในทางสมณศักดิ์สูงสุดเท่ากับเป็นสมเด็จพระสังฆราช ดังปรากฏในคำประกาศเลื่อนกรมว่า “สมควรเป็นสังฆปริณายกมหาปธานาธิบดี มีสมณศักดิ์อิสริยยศใหญ่ยิ่งกว่าบรรดาสงฆ์ทั้งปวงในฝ่ายพุทธจักร”
ฉะนั้น ในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 มาจนถึง พ.ศ. 2434 ประเทศสยามจึงว่างสมเด็จพระสังฆราชเป็นเวลา 23 ปี
พระประวัติ
หนังสือสมเด็จพระสังฆราช 19 พระองค์ได้บันทึกพระประวัติเบื้องต้นว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฤกษ์ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กับเจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง เอกศก จ.ศ. 1171 ตรงกับวันที่ 14 ก.ย. 2352 เวลา 4 ทุ่มเศษ ซึ่งเป็นวันเริ่มสวดมนต์ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงได้พระราชทานพระนามตามศุภนิมิตว่า พระองค์เจ้าฤกษ์
ทรงผนวช
พ.ศ. 2365 เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณร โดยมี สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์ เสด็จอยู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ในสำนักพระญาณสมโพธิ (รอด) เมื่อทรงผนวชได้ 4 พรรษา ทรงประชวรไข้ทรพิษ จึงต้องทรงลาผนวชออกไปรักษาพระองค์ชั่วคราว ครั้นหายประชวรแล้วจึงทรงผนวชเป็นสามเณรอีกครั้ง
พ.ศ. 2372 เมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา ครบอุปสมบท ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ โดยมี สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส กับพระวินัยรักขิต วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และประทับจำพรรษา ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นศิษย์หลวงชั้นแรกในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงผนวชและประทับ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ทรงศึกษาจนแตกฉานในภาษาบาลี แต่มิได้ทรงเข้าสอบเป็นเปรียญ พระนิพนธ์ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในภาษาบาลีของพระองค์ คือ พระนิพนธ์เรื่อง สุคตวิทตถิวิธาน
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็นพระราชาคณะ ทรงสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะสามัญ และได้พระราชทานตาลปัตรแฉกถมปัด พร้อมเครื่องยศสำหรับพระราชาคณะ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลาพระผนวชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2394 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฤกษ์ เป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามว่า กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ทรงพระอิสริยยศเป็นปธานาธิบดีแห่งพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย จึงทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตพระองค์แรก
สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 8
ต่อมาในปี พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระราชพิธีสงฆ์ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ประกาศกระแสพระบรมราชโองการสถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อวันศุกร์ แรม 12 ค่ำ เดือน 12 ปีกุนตรีศก จ.ศ. 1253 ตรงกับวันที่ 27 พ.ย. 2434 นับเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขณะที่ทรงเจริญพระชนมายุถึง 82 พรรษา ทรงประชวรต้อกระจก จนในที่สุดพระเนตรมืด ครั้น พ.ศ. 2435 ทรงล้ม พระอัฐิพระกรซ้ายคลาดจากกัน ทรงประชวรพระโรคกลัดพระบังคนหนัก จัดเข้าในพระโรคชรา สิ้นพระชนม์ในเวลาเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 11 วันที่ 28 ก.ย. 2435 สิริพระชนมายุได้ 83 พรรษา ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลา 42 ปี ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นเวลา 10 เดือนเศษ
พระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ประดิษฐานพระศพไว้ที่พระตำหนักเดิม (ที่เสด็จประทับ) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลาถึง 8 ปี จึงได้พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2443 พระอัฐิส่วนหนึ่งทรงพระโกศทองลงยาประดิษฐานที่หอพระนาควัดพระศรีรัตนศาสดาราม อีกส่วนหนึ่งทรงบรรจุในพระเจดีย์ศิลาทองกับพระอังคาร ประดิษฐานไว้ที่พระตำหนักเดิม ส่วนพระอังคารบรรจุไว้ที่ฐานพระพุทธปัญญาอัคคะในพระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร


