ใคร...ในผ้าเหลือง
“เฮ้ย...ทำไมวัดนี้เขาเรียกค่าบวช 3 หมื่นอ่ะ”
“เฮ้ย...ทำไมวัดนี้เขาเรียกค่าบวช 3 หมื่นอ่ะ”
พี่ชายผมถามด้วยเสียงตกใจ เล่นเอาผมเองที่เคยบวชมาบ้างก็มึนงงไม่น้อย ก่อนบอกไปว่า ไม่น่าเป็นอย่างนั้น ลองถามวัดอื่นดูอีกที เพราะตอนที่บวช วัดไม่ได้พูดเรื่องเงิน อยู่ที่เราจะทำบุญ ให้ปัจจัยค่าน้ำไฟเท่าไร
“นี่อีกวัด เขาบอก 5,600 บาท เป็นค่าซองพระ 15 รูป รูปละ 300 ส่วนพระอุปัชฌาย์ ให้ใส่อีกราคานึง คงบวชวัดนี่แหละ ขี้เกียจเดินหาวัดแล้ว”
“งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก บวช 15 วัน ก็ถือเป็นค่าบำรุงวัดไป”
บอกพี่ชายให้เข้าใจ อย่าเพิ่งเสียความรู้สึก และคิดในแง่บวก เมื่อบวชวัดในเมืองก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ยิ่งในยุคปัจจุบันอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนในอดีตที่วัดเป็นศูนย์กลางของแหล่งชุมชน อบรมจิตใจ มีกิจกรรม คอยบริการประชาชน เปิดกว้างให้คนเข้าถึงพุทธศาสนาได้ง่าย
การบวชปัจจุบันจึงต้องมี “ค่าเรียกจ่าย” ที่ถูกบังคับจำนวนไม่น้อย การเข้าหาธรรมะจึงไม่ใช่เรื่องฟรีเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
นึกย้อนกลับไปตอนบวชไม่กี่ปีมานี้ ที่วัดหลวงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้เห็นเรื่องราวความหลากหลายของ “คน” ใต้ผ้าเหลือง
หลายเรื่องเก็บเป็นความทรงจำ ประสบการณ์มีค่า และคิดว่าถ้ามีโอกาสคงบวชอีกครั้ง แต่ต้องในสถานที่สงบ ตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆ ให้มีสมาธิ เรียกสติกลับมาจากความวุ่นวายรอบตัว
อีกหลายเรื่องก็ตอกย้ำและเข้าใจชีวิตเบื้องต้นของสมณเพศ เมื่อได้นั่งสนทนากับพระบวชใหม่และพระหลายพรรษา แต่ละคนล้วนมาด้วยเหตุผลแตกต่างกัน ทั้งบวชเรียนธรรมะ บวชเพราะปลงปัญหาชีวิต ทะเลาะกับแฟน บวชให้พ่อแม่ บวชตามประเพณี บวชเพราะเบื่อโลก เกลียดความเห็นแก่ตัวของผู้คน กระทั่งบวชหนีคดี
หลายรูปมีวัตรปฏิบัติน่าศรัทธา ศึกษาพระธรรม อยู่ในศีลอย่างเคร่งครัด บางรูปก็ไม่ละวางกิเลส ไม่เฉพาะพระพรรษาน้อย แต่พระผู้ใหญ่ก็มีไม่น้อย
หนึ่งในกฎเกณฑ์สำหรับผู้มาใหม่ ที่พระบอกเป็นพื้นฐาน คือ เวลาไปบิณฑบาต อย่าไปนอกเส้นที่กำหนด เล่ากันว่า เคยมีเรื่องทะเลาะกับพระวัดอื่นมาแล้ว เพราะไปทับสัมปทานเส้นทางวัดอื่นที่อยู่ใกล้กัน แต่สุดท้ายเวลาไปบิณฑบาตจริงก็ไม่ได้ถูกปล่อยให้เดินเดี่ยวดุ่มๆ จะมีพระพี่เลี้ยงนำทีมพระใหม่ไป
เวลาเดินบิณฑบาต รับรู้ได้ถึงความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของผ้าเหลืองที่ห่มอยู่ เมื่อผู้คนต่างหลีกทางให้ กราบไหว้เราที่ห่มจีวรด้วยความนอบน้อม
แม้ทางวัดจะย้ำกฎเกณฑ์กับพระใหม่ในข้อห้ามของสงฆ์ต่างๆ โดยเฉพาะสายธรรมยุต ที่ห้ามจับเงินเด็ดขาด แต่เอาเข้าจริงหลายรูปก็แหกกฎ ยิ่งกว่านั้นบางรูปก็ล็อบบี้ขอไปงานบุญแทน เพื่อหวังจะได้ซองจากญาติโยมเอาไปจ่ายหนี้โทรศัพท์มือถือ จนพระด้วยกันต้องคอยสกัดและสอดส่องไม่ให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้
ก่อนบวช ได้รับการบอกกล่าวมาอีกว่า “จีวร” หรือ “บาตร” ที่พี่ๆ กัลยาณมิตรถวายให้ใช้ระหว่างบวช หรือเรียกว่าเครื่องอัฐบริขารของจำเป็น ถ้าสึกแล้วไม่ต้องเอากลับ พระรูปไหนจะขอไปใช้ ให้บริจาคทำบุญเลย แต่ “จีวร 9 ขันธ์” ที่ได้มาจากพี่ที่เคารพ เป็นผ้าเนื้อดี มีความหมายและราคาสูง ช่วงก่อนสึกมีพระหนุ่มมาขอใช้ต่อ จึงตัดสินใจให้ แต่พระอีกกลุ่มหวังดีกระซิบว่า ระวังเขาจะเอาไปขาย เพราะรายนี้มีประวัติ
ฟังแล้วแอบตกใจ มีแอบขายจีวรกันด้วยหรือ แล้วเอาไปขายที่ไหน กับใคร?
ในหมู่พระหนุ่มก็แบ่งกลุ่มไม่กินเส้น ทะเลาะชี้หน้าด่ากัน ช่วงชิงเป็นผู้นำสวดให้เข้าตาพระผู้ใหญ่ ส่วนเณรตัวเล็ก เสียงสวดสดใส ลื่นเพราะเสนาะหู แต่ด้วยความเป็นเด็ก จึงชอบแอบไปเข้ากุฏิพระผู้ใหญ่ขอเข้าไปเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ จนเจ้าอาวาสสั่งทำโทษ
อาจเป็นเพราะพระหนุ่มพรรษายังอ่อน กิเลสหนา ง่ายต่อการทำผิดศีลได้ง่าย จึงพบเห็นกันทุกที่ ทว่าสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ในหลายวัดก็มีพฤติกรรมฉาวโฉ่ปรากฏให้เห็นไปทั่ว
ถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนที่มาบวช มีทั้งคนดีและคนเลว ไม่ต่างจากทุกวงการ เราก็จะไม่คาดหวังในความสะอาด บริสุทธิ์ ของผู้ที่มาครองผ้าเหลืองทุกรูป ถ้าให้คิดบวก เขาคือผู้ที่ตั้งใจ ยึดมั่นในความดี ประกอบธรรมะ ฝึกตนละเว้นต่อสิ่งยั่วยุ กิเลส กามารมณ์รอบตัว หากปฏิบัติสำเร็จ ประโยชน์ก็จะเกิดกับผู้มาบวชเอง และเป็น “พระจริง” ที่เป็นแบบอย่างให้สังคมเคารพยึดถือ
หาใช่เป็นพวกอภินิหาร จอมขมังเวทย์ ปลุกเสกคุณไสย ดูดวงเจ็ดชาติได้
แต่ “พระ” ก็กลายเป็นอาชีพที่มั่งมีสำหรับใครหลายคน ที่ใช้บารมีของผ้าเหลืองบังหน้าหากิน อาศัยพลังศรัทธาของผู้คนที่ต้องการ “บุญด่วน” เพราะขี้เกียจจะสะสมความดีทีละนิด และใช้เวลานาน วิธีที่คิดว่าได้บุญเร็วก็คือการบริจาค ซื้อบุญราคาแพงๆ ยิ่งแพงมากก็ได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงสุด
นักฉกฉวยในร่มกาสาวพัสตร์จึงใช้ช่องว่างนี้หาประโยชน์ สร้างแบรนด์เนมของบุญชนิดต่างๆ วัดที่มิชอบก็เช่นกัน จัดอีเวนต์ ดึงดารา นักร้อง คนดัง มาโปรโมตระดมเงินบริจาค สร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่ให้ตัวเองขึ้นมา
จนทุกวันนี้ เราถูกทำให้เชื่อจากกระแสที่ปั่นว่า ถ้าบริจาคมากจะได้มาก และช่วยลบล้างความชั่วที่เรายังทำอยู่ คนมี “เงินน้อย” ก็ไม่มีทางได้บุญ และอยู่ในสังคมด้วยความอับอาย เพราะใครหลายคนเขาก็บริจาคกัน จนบางทีเราต้องยอมหมดเงินขืนใจทำบุญ เพื่อให้ไม่ถูกติฉินนินทา เป็นทุกข์หนักกว่าเดิม
อะไรต่างๆ เพี้ยนไปหมด “หลักธรรม” ถูกดัดแปลงไปเป็นสินค้าในรูปแบบพุทธพาณิชย์ วัตถุนิยม ยั่วกิเลสเบียดบังทรัพย์
หลักง่ายๆ คือ กฎแห่งกรรม คนหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้ามีสติและรู้ว่าสิ่งที่ทำคือความชั่ว ก็ต้องพร้อมรับผลกรรมนั้น นี่แหละแน่นอนที่สุด
ผลกรรมกับนรกขุมลึก คงหนีไม่พ้น “มหาโจรในคราบผ้าเหลือง” นั่นแล


