posttoday

ผ่าหัวใจ 'หมอพรทิพย์' โยกย้ายทำลายระบบ

16 มิถุนายน 2556

หลักฐานเพียงรอยนิ้วมืออาจนำไปสู่การคลี่คลายคดีอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายหลายคน แต่อาจไม่ใช่กับ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์

โดย...ธนก บังผล

หลักฐานเพียงรอยนิ้วมืออาจนำไปสู่การคลี่คลายคดีอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายหลายคน แต่อาจไม่ใช่กับ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่ยืนท้าพายุการเมืองทุกสารทิศมาหลายปี แต่มารัฐบาลนี้เธอได้รับหนังสือสั่งย้ายไปแขวนเป็นผู้ตรวจราชการ ยธ. เพื่อสลับมีดเปลี่ยนมือไปที่ พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา

“อย่างแรกก็คือในการทำงาน ในชีวิตไม่คิดว่าต่อไปจะเป็นอะไร คิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็ไม่คิดอะไรมาก” หมอพรทิพย์ เริ่มต้นบทสนทนา

ตลอดชีวิตข้าราชการของหมอพรทิพย์ เรียกได้ว่าสมบุกสมบันขึ้นเหนือลงใต้บ่อยครั้ง ผ่าศพมามากมายหลายสภาพ เมื่อมีคดีอุ้มฆ่าเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินเป็นที่ฮือฮา ก็ทำให้หลายคนนึกถึง “หมอพรทิพย์” ขึ้นมาอีกครั้ง

“หลักของความสงสัยคดีที่เกิดขึ้นมีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผู้ตายมีปัญหากับตำรวจและรัฐบาล เพราะฉะนั้นการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ต้องทำด้วยความรอบคอบโปร่งใส ไม่ใช่เหมือนว่ากดดันคดี เพราะการใช้นิติวิทยาศาสตร์ต้องมีอิสระ” อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทย์ฯ แนะนำ

“ถ้าพูดกันตรงๆ นายเอกยุทธถือเป็นตัวอย่างของคนที่สู้กับอำนาจรัฐ จะเป็นฝั่งอะไรก็ช่าง แต่เมื่อมีการตาย เจ้าหน้าที่รัฐและการเมืองต้องระวังต่อการเข้าไปก้าวก่าย ระวังต่อการที่จะถูกมองว่ามันทำไม่สุด”

หมอพรทิพย์บอกกับสื่อก่อนหน้านี้ว่า คดีนี้ถือเป็นฆาตกรรมอำพราง ซึ่งตำรวจไม่ควรสืบทางโทรทัศน์ โดยตำรวจจับผู้ต้องหามาแถลงทีนึง เมื่อมีผู้ต้องสงสัยก็กลับไปหาหลักฐานมาเพิ่มอีกที ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ ประเด็นต่อมาคือ ข้อมูลและหลักฐานอื่นๆ เช่น ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของผู้ต้องหาทางเจ้าหน้าที่กลับไม่ทำให้ปรากฏออกมา

หมอพรทิพย์ทิ้งมีดชันสูตรศพ หันมาชำแหละเบื้องหลังการโยกย้ายเข้ากรุที่ “สะเทือนใจ” ครั้งนี้ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเธอเชื่อว่ามีสาเหตุจากฝ่ายการเมืองไม่พอใจ

“ใช่ค่ะ สิ่งที่ชัดมากก็คือ เรื่องความเข้าใจผิดหรืออาจจะเป็นความตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น อย่างเรื่องเสื้อแดง หมอไม่บริโภคสื่อทั้งเหลืองและแดง แต่เรารู้ว่าเขาเกลียด เรื่องที่สองคือการได้หนังสือจาก สตช. เรื่องต้องการให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกฯ ที่ผ่านทุกระบบ กับการจัดการศพนิรนามซึ่งตำรวจเข้าใจผิด เราเพียงแต่จะชวนคุยหารือว่าจะแบ่งงานช่วยกันอย่างไร แต่เขาไม่เคยยอมมาคุย

...อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งได้ฟังจากผู้ใหญ่มาว่าตำรวจไม่พอใจการทำงานของหมอแบบนี้ที่ใช้นิติวิทยาศาสตร์เชิงความมั่นคงแล้วประสบความสำเร็จ เพราะทุกคนบอกว่าหมอพรทิพย์ควรทำหน้าที่แค่เก็บแล้วก็ตรวจ ไม่ควรวิเคราะห์ หมอมองว่านี่ไม่ต้องใช้ปัญญาเลยหรือ ในเมื่อเรามีปัญญา เราก็เอาปัญญานั้นมาสร้างประโยชน์ ซึ่งผู้ใหญ่บอกเลยว่าเขาเกลียดมาก”


“หมอยืนยันได้ว่า ตัวหมอเองในชีวิตไม่มีวันมีการเมือง

การโยกย้ายคราวนี้ หมอพรทิพย์เชื่อว่ายังโยงใยไปยังเรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศด้วย จากมูลเหตุที่รัฐบาลแห่งรัฐสลังงอร์เคยเชิญเธอผ่านทางกระทรวงยุติธรรมให้ทำหน้าที่เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการสืบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของ เตียว เบ็ง ฮก ผู้ช่วยนักการเมืองฝ่ายค้านวัย 29 ปี

สำหรับ เบ็ง ฮก เข้าไปเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชันของนักการเมืองกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน จนถูกอุ้มไปสอบสวนและกลายเป็นศพในวันถัดมา มีการเบี่ยงประเด็นให้เป็นเรื่องฆ่าตัวตาย คัดค้านความรู้สึกของคนมาเลย์

“มันคงถึงเวลาที่จะเล่าได้แล้วล่ะ” เธอเกริ่นก่อนเล่ารายละเอียดให้ฟัง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศมาเลเซีย ในปี 2552 มีคดีมาจากมาเลเซียซึ่งติดต่อผ่านเข้ากระทรวง ทางปลัดก็อนุญาต ศาลทางนู้นก็ยินยอมกรณีการตายปริศนาของมาเลเซีย ตอนนั้นหมอไม่ทราบว่าเป็นการเมือง ที่สำคัญคือเราก็ต้องไปขึ้นศาลมาเลเซียแล้วก็เป็นดุลยพินิจของศาลมาเลเซีย ซึ่งอนุญาตให้ทำคดีนี้ ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้รัฐบาลมาเลเซียไม่ชอบหมอ เพราะมันเป็นคดีการเมือง”

“หลังจากเราทำคดีนั้นแล้ว ช่วงนั้นก่อนการเลือกตั้งของมาเลเซีย ทนายความของคุณอันวาเชิญเราไปวิเคราะห์คดีหนึ่ง เราก็ตอบว่าเราไม่ไปเพราะการเมืองคุณแรง โดยธรรมชาติเราทำงานบนหลักความยุติธรรม แล้วคดีนั้นก็มาเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ความเป็นธรรมมันไม่เข้าใครออกใครนะ นั่นคืออุดมการณ์เรา ถ้าจะผิดจะถูกก็ให้ประชาชนว่ามาสิ หมอไม่เลือกจนหรือรวย ใหญ่ไม่ใหญ่ ปรากฏว่าเราเจอความผิดปกติในการตรวจดีเอ็นเอ”

ผลสืบจากศพคราวนั้น หมอพรทิพย์พิสูจน์ว่า การเสียชีวิตของผู้ช่วยนักการเมืองฝ่ายค้านไม่ได้เกิดจากการฆ่าตัวตาย แต่เป็นการฆาตกรรม!!

“เราก็ให้คำแนะนำแต่ไม่ไปขึ้นศาล และนำมาซึ่งการต่อสู้จนศาลพิพากษายกฟ้อง ก็เลยทำให้เขากระโดดลงเวทีเลือกตั้ง ตรงนี้ก็เลยเป็นการตอกฝาโลงหมอ คือผู้บริหารในรัฐบาลนี้มีสัมพันธ์อันดีมากๆ กับรัฐบาลมาเลเซีย แล้วเขาก็เกลียดหมอมาก”

และเพื่อเป็นการยืนยัน หมอพรทิพย์เปิดไอแพดให้เราดูเอกสาร “ลับที่สุด” ฉบับหนึ่ง ที่ส่งมาล่าสุดก่อนจะมีคำสั่งเด้งเธอ ต้นทางมาจากกระทรวงต่างประเทศ ปลายทางถึงรองนายกรัฐมนตรีของไทย

“ทาง ครม.มีหนังสือมาถึงกระทรวงว่ามาเลเซียไม่แฮปปี้กับหมอ ทั้งที่เรามองว่ามันคนละประเทศกัน มันเกี่ยวอะไรกับเรา คือการตอกฝาโลงเลยว่าในเรื่องสิทธิมนุษยชนก็ต้องมีเรื่องการเมือง เขา (รัฐบาล) ก็แค่ลดกระแสสังคม เดี๋ยวจะหาว่ามาแกล้งหมอย้ายให้เป็นผู้ตรวจ เขาเลยให้เป็นที่ปรึกษาสถาบันนิติวิทย์ฯ ด้วย นี่ทางกระทรวงเขาบอกมานะ หมอมองว่าถ้าเขาพูดกับมาเลเซียแล้วก็ต้องทำ ไม่งั้นมันก็เหมือนไม่รักษาสัญญา”

ในฐานะที่เป็นผู้ปลุกปั้นสถาบันนิติวิทย์ฯ ขึ้นมา หมอพรทิพย์วิเคราะห์ว่า สังคมยังไม่รู้ว่าสถาบันนิติวิทย์ฯ ยังไม่เข้มแข็ง แม้จะผ่านเวลามาถึง 10 ปีแล้ว

“พอเปิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องสร้างให้เขาเข้มแข็ง แต่วันนี้การโยกผู้บริหารเกลี้ยงเลยค่ะ คิดได้ไม่ยากค่ะว่าเขาไม่ได้เห็นความสำคัญของกรมนี้เลย จะเป็นได้แค่ไหน เพื่อการประคับประคองให้ยืนได้จริงๆ กับสองตรงกันข้ามเลยก็คือ คุณต้องการให้มันพัง ณ วันนี้ สิ่งที่เห็นเราไม่แน่ใจว่าการเมืองคิดอะไรกับหน่วยงาน ส่วนถ้าจะถามว่าการเมืองคิดอะไรกับหมอพรทิพย์ มันก็ชัดอยู่แล้วว่า เขาไม่ชอบ”

“ตลอดเวลาหมอใช้คำว่าสะเทือนใจ เพราะอันนี้ไม่ใช่ปัญหาครั้งแรก แต่เราก็ไม่ได้ผูกติดตำแหน่ง เราจึงไม่ได้เสียใจเรื่องนี้ เพียงแต่สะเทือนใจ พอเราไม่มีอารมณ์แล้วมันก็จะคิดทุกช็อตออก ถ้ามีอารมณ์ก็จะยึดติดย้ายฉันทำไม อย่างที่บอกกรมนี้ไม่มีค่า ต้องการให้มันต้องตาย งานของเราคุณก็ไม่เห็นว่ามีค่าเลย แต่ว่ามันไม่ได้สำคัญกับเรา เพราะว่างานเรามีค่าที่ตัวมันอยู่แล้ว คุณไม่เคยรู้ว่าหมอพรทิพย์ทำอะไร นักการเมืองผู้บริหารทั้งหลายได้แต่ฟัง นั่งคุยกันบนโต๊ะ ฟังการนินทากาเล ไม่เคยเดินออกไปพื้นที่จริง การที่คุณทำเช่นนี้บอกเลยว่าสงสารประเทศไทย”

“หมอไม่เคยผูกใจเจ็บกับใครเลย แต่ขณะเดียวกันหมอก็ไม่กลัวใครเหมือนกัน” เธอย้ำ

แม้ว่าหมอพรทิพย์จะไม่เอ่ยถึงชื่อผู้มีอำนาจที่โยกย้ายเธอพ้นเก้าอี้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ปฏิเสธเมื่อถามถึงชื่อรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง

“จริงๆ แล้วหมออยากจะคุยกับ 4 คนในรัฐบาลนี้ ซึ่ง 3 ใน 4 คนนั้นคือคนที่ด่าหมอตั้งแต่คราวที่แล้ว ส่วนอีก 1 คนคือคนที่จัดการหมอในคราวนี้ ถ้ามีโอกาสคนเราควรจะคุยกัน เราไม่ได้โกรธเขา แต่เราอยากรู้ว่าเวลาเจอหน้ากันตรงๆ คุณจะพูดอะไร บุคคลผู้เจริญไม่ควรพูดถึงคนอื่นลับหลัง ที่มันสร้างกรรมไม่ดี”

หน้าที่หลังจากนี้ ในฐานะที่ปรึกษาสถาบันนิติวิทย์ฯ หมอพรทิพย์บอกว่า ยังสามารถให้คำแนะนำได้ แต่ว่าจะไม่มีเครื่องมือ อุปกรณ์ โดยจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีวิเคราะห์ให้เห็นว่าตรงไหนมีจุดที่ต้องสังเกต หากจะพิสูจน์ต้องทำอย่างไร แต่ว่าจะส่งทีมช่วยไม่ได้แล้ว ผู้เสียหายต้องมาร้องที่สถาบันนิติวิทย์ฯ และให้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทย์ฯ เป็นผู้เห็นชอบอนุญาต

ท่ามกลางพายุกิเลสของนักการเมือง หลักตั้งมั่นเดียวของหมอพรทิพย์ ที่ทำให้สติไม่กระเจิงคือธรรมะ

“ยังปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด เพราะว่าเป้าหมายชัดเจนคือนิพพาน ฉะนั้นมารจะต้องตัวใหญ่และถี่ ศาสนาพุทธนี่เหมือนเตือนสติเอาไว้ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจก็ต้องสะสมกรรมดีให้มากที่สุด”

“ในชีวิตหมอ หมอเคยเขียนหนังสือได้เงินมากที่สุด 3 ล้านบาท เป็นเบสต์ เซลเลอร์ ตอนนั้นมีคนมาบอกให้เปิดบริษัท เพื่อจะได้ลดภาษี คนอื่นทำ แต่หมอพรทิพย์ไม่ทำ เพราะพ่อสอนว่าแค่คิดโกงก็ผิดแล้ว หมอไม่ใช่ข้าราชการที่วิ่งเข้าหาเพื่อเอาประโยชน์ แต่ว่าถ้าเขาคิดสิ่งดี หมอพร้อมจะช่วยผลักดันเป็นเครื่องมือ หมอเป็นข้าราชการ ณ วันนี้ มันกระทบข้าราชการมากมาย ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ การได้มีโอกาสบริหารบ้านเมือง เหมือนมีโอกาสทำดีดับเบิล คิดแบบนั้นอาจทำให้ความแตกแยกในไทยลดลงนะ ไม่ใช่เข้ามาบริหารแล้วจะกอบจะโกยจะแก้แค้น มันไม่ง่ายที่จะขึ้นไปนั่ง ใช้โอกาสนั้นทำในสิ่งที่ดีที่สุดไม่ดีกว่าหรือ แล้วหมอคือข้าราชการที่ไม่มีวันแข่งกับคุณ ชอบเป็นข้าราชการแบบนี้ แล้วก็ไม่หวังตำแหน่งด้วย เพราะฉะนั้น อย่าระรานเกินไป เรามีศักยภาพอะไรมากเกินกว่าจะเก็บไปเป็นผู้ตรวจ” หมอพรทิพย์ ระบายความรู้สึก

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"