ถึงเวลาลบภาพ โลกที่สามผู้ยากจน
กำลังพัฒนานั้น ทุกวันนี้กลับมีศักยภาพทางเศรษฐกิจชนิดไม่น้อยหน้าประเทศที่ร่ำรวย หลายประเทศกำลังเป็นเขตเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
กำลังพัฒนานั้น ทุกวันนี้กลับมีศักยภาพทางเศรษฐกิจชนิดไม่น้อยหน้าประเทศที่ร่ำรวย หลายประเทศกำลังเป็นเขตเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
ไม่เพียงแต่วิกฤตการณ์การเงินครั้งใหญ่เมื่อปี 2551 จะสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไปทั่วโลกเท่านั้น ผลกระทบที่ตามมายังแทบจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้ามหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก
ภูมิภาคเอเชียผงาดขึ้นมาเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตา พร้อมกับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ทะลุเกินเลข 2 หลักของจีน ฐานการผลิตถูกโยกย้ายไปยังอินเดีย จีน และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนเรียกได้ว่า นาทีนี้ไม่ว่านักลงทุนหน้าใดก็ต้องเปลี่ยนขั้วสับรางหันไปซบอกเอเชียแทน
จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีเสียงเรียกร้องให้ “ยุบ” คำจำกัดความ “กลุ่มประเทศโลกที่สาม” (แต่ร่ำรวย) ออกมา
โรเบิร์ต โซลลิก ประธานธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประกาศท่าทีชัดเจนในการปาฐกถาที่สหรัฐเมื่อไม่นานมานี้ว่า เห็นทีคงถึงเวลาที่จะต้องยุติการใช้คำจำกัดความว่า “โลกที่สาม” กันเสียทีแล้ว เพราะคำว่าประเทศโลกที่สาม ซึ่งหมายถึงประเทศกำลังพัฒนานั้น ทุกวันนี้กลับมีศักยภาพทางเศรษฐกิจชนิดไม่น้อยหน้าประเทศที่ร่ำรวย หลายประเทศกำลังพัฒนากำลังเป็นเขตเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนได้ชื่อว่าเป็นทัพหน้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
“ถึงเวลาแล้วที่จะหยุดใช้คำว่าโลกที่สาม เพื่อสื่อถึงประเทศกำลังพัฒนา และเราต้องหันมายอมรับแทนว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา คือส่วนที่สำคัญยิ่งในระบบเศรษฐกิจแบบพหุภาคีโลกที่สดใหม่และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว” ถ้อยแถลงของโซลลิก ในร่างแถลงการณ์ที่เตรียมสำหรับการประชุมธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในสัปดาห์หน้า ระบุ
จีดีพีของจีนในไตรมาสแรกของปี 2553 นี้ ทะลุทะลวงไปถึง 11.9% และแม้แต่ชาติในแอฟริกาหลายประเทศ ก็ยังมีความมั่งคั่งจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งเหมืองแร่ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
แล้วจะมีเหตุผลอันใดที่ประเทศร่ำรวยซึ่งยังต้องแบกรับมรสุมการว่างงาน หนี้สาธารณะ และปัญหาด้านสถาบันการเงิน จนสุ่มเสี่ยง แต่เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ จะต้องเจียดงบประมาณอีกก้อนโตเพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศโลกที่สามผู้มั่งคั่ง
เรียกง่ายๆ ว่า ลืมมโนภาพของโลกที่สามผู้ยากจนไปได้เลย
แต่เดิมนั้นมีการจำกัดความแต่ละประเทศทั่วโลกออกเป็น 3 กลุ่ม ในสมัยสงครามเย็น คือ ประเทศโลกที่หนึ่ง ได้แก่ สหรัฐ และประเทศพันธมิตร ประเทศโลกที่สอง ได้แก่ สหภาพโซเวียต และพันธมิตร ขณะที่ประเทศโลกที่สามนั้น ได้แก่ กลุ่มประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM)
ทว่าหลังจากที่สิ้นสุดยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา ความหมายของการจำกัดความเหล่านี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงตามองค์กรและหน่วยงานต่างๆ อาทิ การวัดโดยดัชนีชี้วัดการพัฒนาของมนุษย์ (เอชดีไอ) ซึ่งโครงการการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) เป็นผู้คิดค้นขึ้น โดยอิงกับตัวเลขสำคัญ เช่น จีดีพี การศึกษา และอายุขัยเฉลี่ยของประชากร ซึ่งทำให้ประเทศโลกที่หนึ่งกลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้ประชากรสูง และมักเป็นชาติอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศโลกที่สาม มักได้แก่ประเทศกำลังพัฒนา
หากมองย้อนกลับไปยังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2552 ซึ่งเป็นผลพวงมาจากวิกฤตการณ์ด้านการเงินในซีกโลกตะวันตกเมื่อปีก่อนหน้า จะเห็นได้ชัดเจนว่า การจำกัดความระหว่างโลกที่หนึ่งและโลกที่สาม ความเป็นผู้บริจาคและผู้ร้องขอ ผู้นำและผู้ตามนั้น ไม่เป็นไปตามความหมายที่เราเคยรับรู้อีกต่อไป
การใช้ลักษณะภูมิรัฐศาสตร์มาเป็นตัวแบ่งโลกนั้น เริ่มไม่สอดคล้องกับความจริงในปัจจุบันอีกต่อไป และการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของประเทศโลกที่สาม ยังไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่จีนและอินเดียเท่านั้น เพราะแม้แต่ประเทศแถบแอฟริกาในกลุ่มซับ-ซาฮารา ก็คาดว่าจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยได้ถึง 6% ไปจนถึงปี 2558 ขณะที่กลุ่มประเทศในเอเชียใต้ ซึ่งมีสัดส่วนคนยากจนกว่าครึ่งหนึ่งของโลกรวมกันนั้น ก็คาดว่าจะมีการขยายตัวของจีดีพีได้ถึง 7%
หากมองดูผิวเผิน บรรดาประเทศโลกที่สาม ซึ่งรวมถึงไทย กำลังจะได้รับการขยับฐานะให้ขึ้นมามีความเสมอภาคทางชนชั้นวรรณะมากขึ้นในเวทีโลก ทว่าความเป็นจริงอีกข้อที่มาพร้อมกันคือ เงินบริจาคมหาศาลในแต่ละปีทั้งในรูปแบบของตัวเงิน และความช่วยเหลือต่างๆ กำลังจะลดลงไปเช่นเดียวกัน
เพราะในวันเดียวกันนั้น องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ก็ได้ส่งสัญญาณเป็นรูปธรรมชัดเจนออกมาพร้อมกันว่า เงินบริจาคของกลุ่มชาติอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ 30 ประเทศ ให้กับชาติกำลังพัฒนาทั่วโลกในปี 2553 นั้น คาดว่าจะร่อยหรอลงไปยิ่งกว่าเมื่อปีที่ผ่านมาเสียอีก
โดยเฉพาะแถบแอฟริกา ที่ได้เงินบริจาคหนากว่าใครมาตลอด คาดว่าจะได้เงินลดลงเหลือเพียง 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.55 แสนล้านบาท) ซึ่งลดลงถึงเท่าตัวจากที่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 ประเทศ (จี8) เคยลั่นวาจาว่าจะเพิ่มให้เป็น 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.07 แสนล้านบาท) ในปีนี้
และในปี 2553 นี้ ก็คาดว่ายอดเงินบริจาคทั้งหมดให้กับประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกนั้น จะลดลงมาเหลือเพียง 1.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.48 ล้านล้านบาท) จากเดิม 1.196 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.86 ล้านล้านบาท) ในปีที่แล้ว
เป็นที่คาดว่าจะมีฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี เป็น 3 ประเทศใหญ่ที่ไม่สามารถบริจาคได้ตามเป้าที่เคยให้คำมั่นไว้ จากผลพวงพิษเศรษฐกิจ ฝรั่งเศสนั้นถึงขั้นที่รัฐบาลแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่นมาแล้ว ส่วนอิตาลีก็เผชิญหนี้สาธารณะพุ่งสูง ขณะที่เยอรมนีก็เพิ่งจะเสียแชมป์ประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งให้จีนไปหมาดๆ
ความช่วยเหลือที่ว่าหากนับเป็นตัวเลขก้อนเดียว ก็นับว่ามหาศาลแล้ว แต่หากจะแบ่งแยกย่อยลงไป ก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องน่าใจหายไปไม่น้อยสำหรับชาติกำลังพัฒนา เพราะความช่วยเหลือแต่ละปีที่ได้รับนั้น แทบจะครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจ การค้า การศึกษา สาธารณสุข ไปจนถึงการปราบปรามยาเสพติด ที่หลายฝ่ายรู้จักกันดีมากที่สุด อาจเป็นการให้สิทธิพิเศษทางการค้าและศุลกากร หรือ GSP ที่ชาติพัฒนาแล้วมีให้กับบรรดาประเทศคู่ค้าที่เป็นชาติกำลังพัฒนา
แม้ว่าเสียงของเวิลด์แบงก์จะยังไม่มีการประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินการเป็นรูปธรรมอย่างไร และจะนำไปสู่การตัดลดความช่วยเหลือต่างๆ หรือไม่ ทว่าที่ชัดเจนที่สุดแล้วในวันนี้ก็คือ การส่งสัญญาณของชาติร่ำรวยให้โลกที่สาม เตรียมพึ่งตัวเองให้มากขึ้น เพราะเงินทองจะไม่เข้าใครออกใครง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว


