‘ดีเอสไอ’บุกท่าเรือป่าสัก อายัดแร่เหล็กเถื่อนส่งจีน

ดีเอสไอค้นท่าเรือนครหลวง อายัดแร่เหล็กเถื่อน 6,500 ตัน เตรียมส่งจีน ตะลึง 6 เดือนส่งออกแล้วกว่า 5 หมื่นตัน

เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้อายัดแร่เหล็กเถื่อน 6,500 ตัน มูลค่าประมาณ 25 ล้านบาท ซึ่งขุดและขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายในเรือลำเลียงขนาดใหญ่ 4 ลำ ซึ่งกำลังจะขนส่งจากท่าเรือบริษัท ลัคกี้ รีซอสเซส แอนด์ โลจิสติกส์ จากแม่น้ำป่าสัก ต.คลองสะแก อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขนส่งต่อไปยังท่าเรือเกาะสีชัง จ.ชลบุรี ส่งออกไปยังประเทศจีน

พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 ดีเอสไอ เปิดเผยว่า แร่เหล็กส่วนใหญ่มาจาก จ.สระบุรี และลพบุรี จากนั้นขนส่งมายังท่าเรือใน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อลงเรือส่งต่อไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่ามีการขนส่งแร่เหล็กเถื่อนแล้วกว่า 5 หมื่นตัน มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสียหายและประเทศชาติสูญเสียรายได้จำนวนมาก

“กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และขยายผลไปยังเครือข่ายเพื่อแจ้งข้อหาขุดแร่ ครอบครองแร่ และขนส่งแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต และเชื่อว่ามีผู้มีอิทธิพล รวมถึงนายทุนคนไทยและชาวต่างชาติอยู่เบื้องหลังแน่นอน” พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าว

ด้านผู้บริหารท่าเรือดังกล่าว กล่าวว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของแร่เหล็กเถื่อน เพียงแค่รับจ้างขนส่งเท่านั้น

แหล่งข่าวจากชุดสืบสวนของดีเอสไอ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีการจับกุมโรงแต่งแร่แห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ซึ่งเป็นโรงแต่งแร่ของนายทุนจีน ลักลอบขุดแร่จากพื้นที่ไม่มีประทานบัตรใน จ.ลพบุรี นำเข้ามายังโรงแต่งแร่แห่งนี้ โดยพบกองแร่เหล็กที่ยังไม่ผ่านการแต่งแร่ปริมาณ 1 หมื่นตัน และยังมีแร่เหล็กที่ผ่านการแต่งแล้วอีกประมาณ 5,000 ตัน จากนั้นจะใช้รถบรรทุกขนส่งไปยังท่าเรือในพื้นที่นครหลวงเพื่อเตรียมส่งต่อไปประเทศจีน

แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ดีเอสไอได้ตรวจสอบพื้นที่เขาทับควาย อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ซึ่งกลุ่มนายทุนชาวจีนลักลอบขุดแร่เหล็กในพื้นที่ประมาณ 60 ไร่ ซึ่งช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีการลักลอบขุดไปแล้วกว่า 1 แสนตัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 300 ล้านบาท

สำหรับพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งแร่เหล็กคุณภาพดี เดิมบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย เป็นผู้ได้รับประทานบัตร และหมดอายุประทานบัตรในปี 2553 ปัจจุบันกรมศิลปากร กรมป่าไม้ ศูนย์การบินทหารบก และศูนย์การทหารปืนใหญ่ เป็นผู้ดูแลพื้นที่