posttoday

แถลงซัดเขมรตีความซ่อนเร้นจ้องรวบพื้นที่ 4.6 ตร.กม.

18 เมษายน 2556

โดย...ทีมข่าวการเมือง

โดย...ทีมข่าวการเมือง

การชี้แจงด้วยวาจานัดแรกของฝ่ายไทย (Oral Hearling) ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) หรือศาลโลก โดย วีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาฝ่ายกัมพูชา หลังยื่นเรื่องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 ในประเด็นพิพาทพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีใจความสำคัญสรุปว่า ไทยตกลงในกระบวนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมภายใต้บันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2543 เพื่อกำหนดเส้นเขตแดน มิใช่เป็นกระบวนการทางยุติธรรมครอบคลุมถึงพื้นที่ตามที่กัมพูชาอ้างในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ซึ่งได้รับการยอมรับแล้วโดยประมุขของกัมพูชาในสมัยนั้น ซึ่งเสด็จฯ ไปยังปราสาทไม่นานหลังจากนั้น แต่ 50 ปีผ่านไป กัมพูชากลับมาโดยแฝงในคำขอตีความให้ศาลให้ในสิ่งที่ศาลได้ปฏิเสธอย่างชัดแจ้ง

อีกทั้งข้อพิพาทปัจจุบันเกิดจากการเรียกร้องดินแดนใหม่ของกัมพูชา เพื่อยื่นเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว

ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับคดีเดิมหรือเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือปราสาท ซึ่งได้รับปฏิบัติแล้วทันทีภายหลังจากการมีคำพิพากษา โดยมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดขอบเขตใกล้เคียงปราสาท พร้อมสร้างรั้วและป้าย และเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2505 ไทยก็ได้คืนปราสาทให้กัมพูชาพร้อมถอนกำลังทหาร ซึ่งถือว่ากัมพูชาได้ในสิ่งที่ขอในคำขอเมื่อปี 2502

กระทั่งปลายปี 2543 กัมพูชาได้รุกล้ำเส้นมติ ครม.เข้ามาในดินแดนไทย ถือเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อข้อ 5 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งกิจกรรมที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้กระทบต่อกระบวนการเจรจาตามบันทึกความเข้าใจ และทำให้เกิดการประท้วงอย่างหนักจากไทย และข้อพิพาทใหม่นี้ตกผลึกในปี 2550 เมื่อกัมพูชาเสนอแผนผังเพื่อขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารฝ่ายเดียวต่อคณะกรรมการมรดกโลก ในการประชุมสมัยที่ 31 ซึ่งกัมพูชาอ้างล้ำเข้ามาในดินแดน 4.6 ตร.กม.

วีรชัย ยังระบุว่า ในปี 2505 (ค.ศ. 1962) ศาลโลกยืนยันชัดแล้วว่าไม่มีการพิจารณาแผนที่ตามภาคผนวก 1 แต่คำร้องครั้งนี้ของกัมพูชาเป็นคำร้องโดยมิชอบ ซึ่งก่อนหน้านี้กัมพูชายอมรับคำสั่งตามบันทึกความเข้าใจเอ็มโอยู 43 มาตลอด และจุดประสงค์ที่แท้จริงของกัมพูชานั้น ก็คือการพยายามฉวยโอกาสในดินแดน 4.6 ตร.กม.ของไทย ที่เห็นว่ามีความจำเป็นต่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลกต่อตัวปราสาทพระวิหาร ข้อโต้แย้งของกัมพูชาในปัจจุบัน เป็นเรื่องขอให้ศาลตัดสินเรื่องเขตแดน และคำอ้างของกัมพูชาขณะนี้ เป็นการอ้างเส้นในแผนที่ 1:200,000 ตามอำเภอใจ ทั้งนี้ไทยปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกตั้งแต่ปี 2505 มาตลอด แต่กัมพูชาก็ให้ตัวเองอยู่ในโลกคู่ขนาน บอกว่าค้นพบแผนที่ลับ เป็นความลึกลับที่ ครม.ของกัมพูชาเพิ่งได้เรียนรู้

“กัมพูชากล่าวหาการเมืองภายในของไทยเป็นต้นตอแห่งปัญหา แต่สาเหตุแท้ที่จริงแล้วเป็นนโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าวและทะเยอทะยานของกัมพูชา การโต้แย้งโดยไม่มีมูลฐาน แสดงให้เห็นชัดเจนในข้อพิพาทบริเวณพื้นที่เมื่อเทียบปี 2505 บิดเบี้ยวไปมาก โดยไม่สนใจในเรื่องภูมิประเทศ อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงในเอ็มโอยู 2543 รวมถึงการปักปันเขตแดน ไม่พูดถึงคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร เป็นเพียงขั้นตอนสำรวจสันปันน้ำ กัมพูชาปลอมแปลงเอกสาร แผ่นที่ 3 และ 4 ในภาคผนวก 49 รวมทั้งแผนที่ภาคผนวก 1 เรื่องการร่างเขต 4.6 ตร.กม. สิ่งที่กัมพูชาทำเป็นการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือ”

“แม้กัมพูชาจะเน้นเรื่องการเคารพต่อศาล แต่ก็ได้ดำเนินการไม่เหมาะสมทางคดี เพื่อทำให้ศาลเข้าใจผิดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ”

นอกจากนี้ กัมพูชายังได้แถลงอย่างผิดๆ เกี่ยวกับหลักฐานอื่นๆ รวมทั้งแผนที่ภาคผนวก 1 เพราะแท้ที่จริงเป็นแผนที่แนบคำขอแรกเริ่มของกัมพูชา แต่กลับถูกนำไปอ้างในเว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา ณ กรุงปารีส ว่าเป็นแผนที่ได้รับการรับรองจากศาลโลกว่าเป็นภาคผนวก 1 ของคำพิพากษา อีกทั้งยังเสนอแผนที่ภาคผนวก 1 ต่อศาลคนละฉบับกับที่ได้เสนอในคำขอแรกเริ่ม

สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ศาลออกมาตรการ คือ มิให้เกิดการสูญเสียชีวิตขึ้น ดังนั้นตั้งแต่ศาลออกมาตรการการหยุดยิงในพื้นที่ ต่างก็ได้รับการเคารพ โดยกัมพูชาไม่มีการปะทะกัน จนเกิดการสูญเสียชีวิตหรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินอีกต่อไป สถานการณ์ในพื้นที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคำสั่งศาลทุกประการ

ข่าวล่าสุด

อาลัยวีรชน “เนิน 350” อนุทินลั่นไม่ทิ้งญาติ ย้ำรัฐเยียวยาเต็มที่