ระบอบประชาธิปไตยจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร?
สังคมมนุษย์สมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงสังคมและประเทศไทยในสมัยปัจจุบันด้วยนั้นดำรงอยู่ร่วมกันและทำการปกครองร่วมกันในรูปแบบของประชาธิปไตยตัวแทน (Representative Democracy) กล่าวคือ มีกลไกการเลือกตั้งตัวแทน ได้แก่ บรรดา สส. และบางส่วนของสว. ไปทำหน้าที่สมาชิกรัฐสภา เพื่อเลือกสรรและควบคุมนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและฝ่ายบริหารอีกชั้นหนึ่ง
แน่นอนว่า บางประเทศมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี และบรรดาฝ่ายบริหารของประเทศนั้นๆ โดยตรง แยกกันเป็นคนละส่วนกับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ยิ่งเป็นการยืนยันและตอกย้ำว่าประเทศนั้นๆ เลือกที่จะปกครองตนเองด้วยระบบ “ตัวแทน” อย่างแน่นหนาถึงสองชั้น
การปกครองโดยตัวระบอบตัวแทนอย่างธรรมดาหนึ่งชั้น และอย่างแน่นหนาสองชั้นดังกล่าวข้างต้น เป็นการอธิบายสรุปโดยนัยว่า สังคมมนุษย์สมัยใหม่ล้วนดำรงอยู่ได้ด้วย “ระบบตัวแทน” ทั้งสิ้น หาได้เป็นประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) ซึ่งเป็นรูปแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง อันอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนไม่
จึงเกิดเป็นปัญหาตลอดมาว่า ระบบตัวแทนนั้นจะมีความมั่นคง เป็นสถาบันทางการเมือง มีเหตุมีผล ใช้อำนาจที่ได้รับมอบหมายมาจากประชาชนอย่างซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวม มิใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้อง ได้อย่างไร?
ในกรณีของประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ระบบตัวแทนดังกล่าวมีความผันผวน และถึงขั้นล้มลุกคลุกคลานเพราะมีการปฏิวัติรัฐประหาร มักจะเกิดจากข้อขัดแย้งที่หมักหมมและสะสมระหว่างตัวแทนด้วยกันเองอย่างหนึ่ง และระหว่างตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งกับผู้นำและองค์กรที่ดำรงอยู่ก่อน เช่น กองทัพ ผู้นำศาสนา ฯลฯ อีกอย่างหนึ่ง
ในกรณีของประเทศไทยอีกเช่นกัน รวมทั้งในประสบการณ์ของประเทศที่พัฒนาแล้วจำนวนหนึ่ง พบว่าระบบตัวแทนมีการใช้อำนาจที่เกินเลยและถึงขั้นที่ฉ้อฉล เพราะได้มีการเอาอำนาจที่ได้รับมอบหมายมาจากประชาชนนั้น ไปมอบหรือยกให้พรรคการเมือง และหรือผู้นำทางการเมืองบางคนที่บรรดาตัวแทนนั้นๆ ยกย่องเชิดชูเป็นพิเศษ เช่น ยกให้ประธานาธิบดี หลุยส์ นโปเลียน สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 และยกให้ ฮิตเลอร์มีอำนาจสูงสุด และเป็นท่านผู้นำสูงสุดของประเทศ เป็นต้น
ระบบตัวแทนจึงเป็นระบบที่บอบบางเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอะไรจะเป็นหลักปกป้องและประกันตนเองได้ว่า อำนาจของบรรดาตัวแทนต่างๆ นั้น จะรักษาความเป็นประชาธิปไตยไว้ได้โดยตลอดรอดฝั่งโดยกลไกปกติที่พึงมีเพียงประการเดียว คือ รอบเวลาของการเลือกตั้ง ซึ่งพึงมีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
เป็นที่กล่าวและเชื่อกันว่า การเลือกตั้งเป็นกลไกที่สำคัญของการปกป้องระบอบประชาธิปไตยตัวแทน เพราะว่าผู้เลือกตั้งเป็นผู้ชาญฉลาด แต่ก็มีผู้วิเคราะห์ไว้อีกเป็นจำนวนมากว่าการเลือกตั้งนั้นเกิดขึ้นโดยกลไกของการปลุกปั่นหลอกล่อ โดยการสร้างกลไกอุปถัมภ์แฝงอยู่ในกระบวนการเลือกตั้ง ทำให้อำนาจสูงสุดของประชาชนทำงานได้เพียง34 นาทีเท่านั้นในรอบหนึ่งๆ เช่น 4 ปีของการเลือกตั้ง ฯลฯ
ดังนั้น ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนของทุกประเทศจึงต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีการสร้างองค์กรและกลไกตามรัฐธรรมนูญขึ้นมา เพื่อพิทักษ์หรือปกป้องประชาธิปไตยไว้ให้มีความมั่นคง ทำให้รัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยตัวแทนสมัยใหม่ทั้งหลายมีความแตกต่างจากรัฐธรรมนูญโบราณ รวมทั้งรัฐธรรมแบบกลางเก่ากลางใหม่ในหลากหลายประเด็น
กลไกอย่างหนึ่ง ซึ่งรัฐธรรมนูญสมัยใหม่มักกำหนดให้มี คือ กลไกของการลงประชามติ (Referendum) มีความหมายว่า เรื่องสำคัญๆ ของสังคมประเทศชาติ บรรดาตัวแทนจะไม่ตัดสินใจกันเอง หากแต่ต้องกลับไปถามหรือกลับไปให้ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยเป็นผู้ตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น การแยกหรือการรวมประเทศ การขึ้นภาษีขนานใหญ่ การก่อหนี้ของประเทศเป็นจำนวนมาก ฯลฯ
การลงประชามติในเรื่องที่มีความสำคัญเช่นนี้ จะเป็นกระบวนการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน และให้พื้นที่และเวลาแก่ประชาชนในการถกเถียงอภิปราย และตัดสินเรื่องสำคัญร่วมกัน มิใช่ว่าตัวแทนจะมีอำนาจทำการแทนประชาชนไปได้ทั้งหมดทุกเรื่อง
กลไกอีกอย่างหนึ่ง คือ องค์กรศาล หรือคณะตุลาการ ที่มีอำนาจและหน้าที่พิจารณาคดีทางรัฐธรรมนูญ เป็นคดีความที่ควรแยกออกมาจากคดีความทางอาญา และคดีความแพ่งโดยทั่วไป
คดีความรัฐธรรมนูญ เป็นคดีความที่เกี่ยวข้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตัวแทนของประเทศ และการละเมิดรัฐธรรมนูญ โดยปกติแล้วบรรดาองค์กรและสถาบันทางการเมืองล้วนดำเนินการตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม การละเมิดหรือการทำหน้าที่เกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ก็มีผลมาจากการดำเนินการขององค์กรทางการเมืองด้วยกันเองมากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรทางการเมืองที่ก่อรูปมาจากพรรคการเมืองและมาจากบรรดาตัวแทน ซึ่งมีกลไกบังคับต่างๆ นานา แรงดึงดูดใจทั้งในด้านของฐานเสียง การชนะการเลือกตั้ง อุดมการณ์และผลประโยชน์ ย่อมมีเหตุให้ดำเนินการเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดได้เป็นอันมาก
ระบอบประชาธิปไตยตัวแทน ซึ่งมีความเปราะบางอยู่แล้ว จึงมีความโน้มเอียงที่จะแปรปรวนได้มาก ฉะนั้นการมีกลไกที่ช่วยเกลี่ยรักษาความสมดุล และตัดสินคดีความทางรัฐธรรมนูญ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในฐานะเป็นกลไกปกป้องระบอบประชาธิปไตยตัวแทนนั้นเองในอีกทางหนึ่งด้วย


