posttoday

เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม

15 ธันวาคม 2568

"ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา" ชี้ชัด "จุดพลิกเกม" ไม่ใช่ประชานิยมระยะสั้น แต่คือเสถียรภาพการเมือง วินัยการคลัง และการปลดล็อกคอขวดเชิงโครงสร้าง พร้อมถอดบทเรียน 100 วันแรกที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำ ตั้งแต่กรอบการคลัง แก้หนี้ครัวเรือน ปลดล็อกลงทุนจนถึงเงื่อนไขชี้ขาดว่า เลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนประเทศหรือแค่รอบซ้ำของปัญหาเดิม

KEY

POINTS

  • "ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา" ชี้จุดพลิกเกม ไม่ใช่ประชานิยมระยะสั้น แต่คือเสถียรภาพการเมือง วินัยการคลังและปลดล็อกคอขวดเชิงโครงสร้าง
  • ถอดบทเรียน 100 วันแรกที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำ ตั้งแต่กรอบการคลัง แก้หนี้ครัวเรือน
  • ปลดล็อกลงทุนจนถึงเงื่อนไขชี้ขาดว่า เลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนประเทศหรือแค่รอบซ้ำของปัญหาเดิม

หลังการยุบสภา 12 ธันวาคม 2568 ประเทศไทยเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง ช่วงเวลาที่คำว่า "ความหวัง" เดินเคียงคู่กับ "ความเปราะบาง" เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า หนี้ครัวเรือนที่กดทับกำลังซื้อ

และการลงทุนที่ชะลอเพราะความไม่แน่นอน ล้วนทำให้การเลือกตั้งปี 2569 ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรัฐบาล แต่คือบททดสอบว่าไทยจะเลือก "เดินหน้าแก้โครงสร้าง" หรือ กลับไปวนอยู่กับนโยบายระยะสั้นเหมือนที่ผ่านมา

เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม

ท่ามกลางคำถามใหญ่ของประเทศ "ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา" นักเศรษฐศาสตร์ ฝ่าย Wealth Research บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ฉายภาพอย่างตรงไปตรงมากับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า "จุดพลิกเกม" ของเศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน รัฐบาลใหม่ควรเร่งทำอะไรใน 100 วันแรก

และปัจจัยใดจะเป็นตัวตัดสินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนประเทศ หรือเป็นเพียงรอบซ้ำของปัญหาเดิมที่ไทยเผชิญมานาน

ดร.วัชราภรณ์ มองว่า จุดพลิกเกมเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง 2569 อยู่ตรงการเปลี่ยนจากนโยบายแก้ปลายเหตุไปสู่การแก้เชิงโครงสร้าง เพื่อให้เอกชนกลับมาลงทุนมากขึ้นและให้รัฐมีความน่าเชื่อถือเชิงการคลังพอจะบริหารความเสี่ยงได้

จุดนี้จะเกิดได้เมื่อรัฐบาลใหม่ส่งสัญญาณ 3 เรื่องพร้อมกัน ได้แก่ มีเสถียรภาพทางการเมืองเพียงพอที่จะทำให้การทำงานได้อย่างต่อเนื่อง นโยบายทางการคลังที่ชัดเจน และแพ็กเกจยกระดับผลิตภาพที่ทำได้จริงใน 3-5 ปี

ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่ควรใช้เวลา 100 วันทำ 3 อย่างเรียงลำดับ ได้แก่ 

  1. ออกกรอบการคลังระยะกลาง 3 ปีแบบมีตัวเลขและเส้นทางหนี้และการขาดดุลชัดเจน หรือที่เรียกว่ากรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) 
  2. ตั้งวอร์รูมเร่งเอกชนลงทุน เช่น การปลดล็อกใบอนุญาต ผังเมือง พลังงาน ดาต้าเซ็นเตอร์ โลจิสติกส์ เป็นต้น พร้อมสัญญาเชิงผลงานของหน่วยงานรัฐ (Service Level Agreement)
  3. ทำมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนแบบ "ปรับโครงสร้าง คัดกรอง และตรงเป้า" เพื่อลดวงจรหนี้เสียและฟื้นกำลังซื้ออย่างยั่งยืน

ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา นักเศรษฐศาสตร์ บล.บัวหลวง

เมื่อถามในเชิงเศรษฐกิจมหภาค... 

อะไรคือปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลที่สุดระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล-ความผันผวนค่าเงิน ลงทุนชะลอ หรือความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย ? 

ดร.วัชราภรณ์ มองว่าสิ่งที่กังวลมากที่สุดในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล คือ "ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายและทำให้ไทยต้องเผชิญกับภาวะสุญญากาศ" ซึ่งผลกระทบนี้จะขยายวงกว้างไปสู่ความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างของภาคเอกชนไทยและนักลงทุนต่างชาติ เพราะการขาดรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มจะทำให้การอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ การเจรจานโยบายส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน

ตลอดจนการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐต่อเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ

3 ปัญหาที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ปัญหา

ดร.วัชราภรณ์ มองว่าสิ่งที่ควรทำก่อน คือ

  1. กระตุ้นกำลังซื้อ เนื่องจากเป็นมาตรการที่สามารถทำได้เลย ถือว่าเป็น Quick Win แต่ก็ต้องยอมรับว่าภายใต้งบประมาณที่มีอย่างจำกัด อาจส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวมจำกัดเช่นกัน
  2. การคลังอ่อนแอ ซึ่งประเด็นนี้จะควบคู่กับประเด็นหนี้สาธารณะที่สูงด้วย เพราะสถานะการคลังเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ รวมถึงการลงทุน โดยรัฐบาลใหม่อาจต้องใช้นโยบายที่มีไทม์ไลน์ชัดเจนต่อการลดหนี้และเพิ่มรายได้ทางการคลัง โดยเฉพาะในแง่ของการเพิ่มรายได้ที่อาจจะต้องดึงคนที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
  3. แก้หนี้ครัวเรือน แม้ผลของการแก้หนี้ครัวเรือนอาจใช้ระยะเวลานาน แต่มีความยั่งยืนมากกว่า เพราะหากหนี้ครัวเรือนลดลง ครัวเรือนจะมีเงินในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศอย่างยั่งยืน. 

นโยบายประชานิยมรอบใหม่ ที่จะถูกใช้เป็นหัวใจหาเสียง? เสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังระยะกลางแค่ไหน? 

ดร.วัชราภรณ์ มองว่า ในเชิงยุทธศาสตร์การเมือง มีความเป็นไปได้ที่เราจะเห็นประชานิยมรอบใหม่ถูกนำมาใช้ แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังระยะกลางจะอยู่ในระดับน่ากังวล หากนโยบายนั้นสร้างภาระรายจ่ายผูกพันถาวร หรือเป็นการอุดหนุนราคาแบบปลายเปิดที่ไร้กลไกยุติ 

ในทางกลับกัน หากออกแบบให้พุ่งเป้าเฉพาะกลุ่ม มีกรอบเวลาชัดเจน และระบุแหล่งที่มาของเงินอย่างโปร่งใส ความเสี่ยงจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

กล่าวโดยสรุปคือ ตลาดทุนไม่ได้ตัดสินความเสี่ยงจากชื่อโครงการ แต่จะพิจารณาจากวินัยของการจัดสรรงบประมาณ และเงื่อนไขการสิ้นสุดโครงการเป็นสำคัญ.

ถ้าต้องขึ้นภาษีบางประเภทเพื่อฟื้นเสถียรภาพคลัง อะไรคือภาษีที่กระทบเศรษฐกิจน้อยที่สุด แต่สร้างรายได้มากสุด ? 

แนวทางที่กระทบกับเศรษฐกิจน้อยที่สุด ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำในปัจจุบัน คือ การขยายฐานภาษีมากกว่าการเพิ่มอัตราภาษี โดยเฉพาะการดึงคนและธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีให้มากที่สุด 

โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ เช่น E-Commerce, Social media, cloud services ที่สร้างรายได้จากผู้บริโภคไทยหรือผู้ประกอบการไทยเป็นจำนวนมาก

แต่ภาระภาษีที่ชำระในประเทศยังต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง.

เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม

ถามว่า ไทยผลักดันเศรษฐกิจโตกว่า 3% ต้องปลดล็อกอะไร ?

ดร.วัชราภรณ์ มองว่าหากเป้าหมายคือการยกระดับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ทะลุระดับ 3% อย่างยั่งยืน ตัวล็อกสำคัญลำดับแรกที่ต้องเร่งปลด คือ โครงสร้างระบบราชการและกฎระเบียบ (Regulatory Guillotine) เนื่องจากเป็นคอขวดสำคัญที่บั่นทอนศักยภาพการลงทุนของภาคเอกชน และเป็นอุปสรรคต่อการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อกลไกภาครัฐมีความคล่องตัวและเอื้อต่อการลงทุนแล้ว 

ภารกิจเร่งด่วนลำดับถัดไป คือ "การยกระดับคุณภาพทุนมนุษย์ผ่านกระบวนการ Upskill และ Reskill ที่มีดัชนีชี้วัดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม" แม้โครงสร้างประชากรจะเป็นความท้าทายใหญ่ของประเทศ แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าวต้องใช้เวลายาวนาน

ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ จึงไม่ใช่การรอแก้ปัญหาเชิงปริมาณของประชากร แต่เป็นการเร่งสร้างผลิตภาพเชิงคุณภาพ ให้สามารถเอาชนะข้อจำกัดด้านกำลังแรงงานที่ลดลงให้ได้. 

เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม

ไทยติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางยาวนาน รัฐบาลใหม่ต้องทำอะไรเพื่อหลุดจากวงจรนี้ ? 

การที่ไทยติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลางมาเป็นเวลานาน สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่าการที่เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพมาเป็นเวลานาน

โดยมองว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ ระบบภาษีที่ยังไม่เอื้อต่อการยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว แรงงานชนชั้นกลางแบกภาระภาษีมากเกินไปจนทำให้มีรายได้ที่เหลือหลังหักภาษี (Disposable income) ถูกจำกัดอยู่ในระดับต่ำ 

ขณะที่ รายได้หรือค่าจ้างแท้จริงเติบโตช้าทำให้ความสามารถในการลงทุนกับการศึกษาที่สูงขึ้น ทักษะใหม่ รวมถึงการสร้างความมั่นคงทางการเงินจึงถูกบั่นทอน รัฐบาลใหม่จึงจำเป็นต้องทำต่างจากที่ผ่านมาด้วยการปรับโครงสร้างระบบภาษีให้เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยดึงคนและธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้นอย่างจริงจัง 

นอกจากนี้ การส่งเสริมธุรกิจระดับฐานราก (Micro Enterprises และ SMEs) อย่างจริงจัง เนื่องจากภาคธุรกิจกลุ่มนี้เป็นแหล่งจ้างงานหลักและเป็นฐานรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่ของประเทศ หาก SMEs ไม่สามารถเติบโตหรือยกระดับผลิตภาพได้ เศรษฐกิจไทยจะติดอยู่กับกิจกรรมมูลค่าเพิ่มต่ำอย่างถาวร 

ดังนั้น รัฐบาลใหม่ควรสร้างนโยบายเพื่อผลักดันธุรกิจระดับฐานรากเหล่านี้ให้เติบโตอย่างเป็นระบบ โดยยกระดับให้เป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติด้วยการเอื้อให้เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนถูก ยืดระยะเวลาในการคืนหนี้ เพื่อช่วยลดแรงกดดันด้านสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจขนาดเล็กไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูงขึ้น พร้อมจัดตั้งผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจคอยให้คำแนะนำและส่งเสริมอย่างจริงจัง.

เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม

ไทยพร้อมหรือยังกับการปฏิรูปใหญ่ เช่น ภาษีที่ดิน, ยกเครื่องกฎหมายแรงงาน, หรือ ปฏิรูปราชการ ? 

หากประเมินตามความเป็นจริง ประเทศไทยอยู่ในสถานะพร้อมแบบมีเงื่อนไข ความสำเร็จของการปฏิรูปไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับต้นทุนทางการเมือง และศิลปะในการบริหารการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลเป็นสำคัญ 

สำหรับการปฏิรูปเรื่องละเอียดอ่อนอย่างภาษีที่ดินหรือโครงสร้างราชการ รัฐบาลไม่สามารถใช้วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่ต้องใช้ยุทธศาสตร์แบบขั้นบันได (Phased Approach) ที่มีการออกแบบระยะเวลาเปลี่ยนผ่านให้สังคมปรับตัวได้ เพื่อลดแรงเสียดทานในส่วนของกฎหมายแรงงาน 

หัวใจสำคัญ คือ การสร้างจุดสมดุลใหม่ โดยต้องเพิ่มความยืดหยุ่นให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวแข่งขันได้ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐก็ต้องวางระบบสวัสดิการและระบบสร้างทักษะใหม่ที่เปรียบเสมือนตาข่ายรองรับทางสังคมที่เข้มแข็งให้แก่แรงงาน

หากขาดสมดุลนี้ แรงต้านจากผู้เสียผลประโยชน์จะเป็นกำแพงต้านที่ทำให้การปฏิรูปต้องล้มเหลวเหมือนในช่วงที่ผ่านมา.

เลือกตั้ง 2569 เป็น “จุดเปลี่ยนประเทศ” หรือ “ซ้ำปัญหาเดิม” ? อะไรคือปัจจัยตัดสิน ? 

ปัจจัยตัดสิน คือ ความสามารถในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมีเอกภาพเชิงนโยบาย โดยหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากที่ชัดเจน จะทำให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้ง การปฏิรูปภาษี การแก้หนี้ครัวเรือน และการเร่งการลงทุน โดยไม่ถูกจำกัดด้วยการต่อรองทางการเมือง ซึ่งมักทำให้นโยบายขาดความต่อเนื่อง ล่าช้า หรือถูกลดทอนจนไม่เกิดผลจริง 

ในทางกลับกัน หากรัฐบาลเป็นลักษณะเสียงข้างน้อยหรือรัฐบาลผสมที่ขาดเอกภาพ ความเสี่ยงของการติดหล่มนโยบายจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยนโยบายสำคัญอาจถูกเลื่อนออกไปหรือเปลี่ยนทิศทางบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ

และท้ายที่สุดแล้วอาจทำให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่วงจรเดิมของการเติบโตในระดับต่ำ.

หากเป็นที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจรัฐบาล นโยบายเร่งด่วนและระยะยาวที่สร้างผลกระทบเชิงบวกได้จริงคืออะไร ?

นโยบายเร่งด่วน ได้แก่ 

1. แก้หนี้ครัวเรือน เพื่อให้ครัวเรือนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน

2. ปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีให้เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการขยายฐานภาษีด้วยการคนและธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น ควบคู่กับการลดการขาดดุลการคลัง 

3. การส่งเสริมการลงทุน โดยเน้นเพิ่ม Easing to do business เพราะจะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะกลางถึงยาว

ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องเร่งออกนโยบายเชิงรุกแบบ Fast track เพื่อปลดล็อกคอขวดด้านการลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

หัวใจสำคัญไม่ใช่เพียงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม แต่คือ การลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นของการทำธุรกิจผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบ กระบวนการอนุญาต และลดขั้นตอนราชการให้รวดเร็ว โปร่งใส ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนได้มากขึ้น

4. มุ่งเจรจาการค้าระหว่างประเทศผ่าน FTA หรือขยายคู่ค้าให้มากขึ้น เพราะจะเป็นทางรอดของการค้าและการลงทุนไทยอย่างยั่งยืนในระยะข้างหน้า อีกทั้ง ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ 

5. ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง โดยออกนโยบายด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ควบคู่กับการเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวไทยมากขึ้นเช่นเดิม. 

เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม

นโยบายระยะยาว ได้แก่ 

  1. ขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเสริมสร้างพลังงานแห่งอนาคต เช่น โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grid) พลังงานสะอาด Data center และ AI เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง และดึงดูด FDI ระยะยาว 
  2. ขยายโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงภูมิภาค เพื่อเอื้อต่อการขนส่งสินค้า ลดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของ SMEs และเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งภาคส่งออกไทย และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในตัวให้เกิดการขยายไปยังเมืองรองมากขึ้น
  3. ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ผ่านระบบการศึกษาให้ทันสมัย เพิ่มทักษะแรงงานให้ทันโลกธุรกิจและเทคโนโลยี เพราะสุดท้ายแล้วจะเป็นการยกระดับผลิตภาพแรงงาน ซึ่งเป็นหัวใจของการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง.

เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม

ข่าวล่าสุด

ทรู คอร์ปอเรชั่น ดูแล 'พลังใจ' ประชาชนศูนย์พักพิงฯ ชายแดนไทย–กัมพูชา นอกเหนือจากสัญญาณ