เลือกตั้ง 2569 จุดพลิกเศรษฐกิจไทย! นักเศรษฐศาสตร์ชี้ 100 วันแรก เร่ง 3 Quick Win ถ้าไม่อยากวนลูปเดิม
"ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา" ชี้ชัด "จุดพลิกเกม" ไม่ใช่ประชานิยมระยะสั้น แต่คือเสถียรภาพการเมือง วินัยการคลัง และการปลดล็อกคอขวดเชิงโครงสร้าง พร้อมถอดบทเรียน 100 วันแรกที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำ ตั้งแต่กรอบการคลัง แก้หนี้ครัวเรือน ปลดล็อกลงทุนจนถึงเงื่อนไขชี้ขาดว่า เลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนประเทศหรือแค่รอบซ้ำของปัญหาเดิม
KEY
POINTS
- "ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา" ชี้จุดพลิกเกม ไม่ใช่ประชานิยมระยะสั้น แต่คือเสถียรภาพการเมือง วินัยการคลังและปลดล็อกคอขวดเชิงโครงสร้าง
- ถอดบทเรียน 100 วันแรกที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำ ตั้งแต่กรอบการคลัง แก้หนี้ครัวเรือน
- ปลดล็อกลงทุนจนถึงเงื่อนไขชี้ขาดว่า เลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนประเทศหรือแค่รอบซ้ำของปัญหาเดิม
หลังการยุบสภา 12 ธันวาคม 2568 ประเทศไทยเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง ช่วงเวลาที่คำว่า "ความหวัง" เดินเคียงคู่กับ "ความเปราะบาง" เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า หนี้ครัวเรือนที่กดทับกำลังซื้อ
และการลงทุนที่ชะลอเพราะความไม่แน่นอน ล้วนทำให้การเลือกตั้งปี 2569 ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรัฐบาล แต่คือบททดสอบว่าไทยจะเลือก "เดินหน้าแก้โครงสร้าง" หรือ กลับไปวนอยู่กับนโยบายระยะสั้นเหมือนที่ผ่านมา
ท่ามกลางคำถามใหญ่ของประเทศ "ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา" นักเศรษฐศาสตร์ ฝ่าย Wealth Research บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ฉายภาพอย่างตรงไปตรงมากับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า "จุดพลิกเกม" ของเศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน รัฐบาลใหม่ควรเร่งทำอะไรใน 100 วันแรก
และปัจจัยใดจะเป็นตัวตัดสินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนประเทศ หรือเป็นเพียงรอบซ้ำของปัญหาเดิมที่ไทยเผชิญมานาน
ดร.วัชราภรณ์ มองว่า จุดพลิกเกมเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง 2569 อยู่ตรงการเปลี่ยนจากนโยบายแก้ปลายเหตุไปสู่การแก้เชิงโครงสร้าง เพื่อให้เอกชนกลับมาลงทุนมากขึ้นและให้รัฐมีความน่าเชื่อถือเชิงการคลังพอจะบริหารความเสี่ยงได้
จุดนี้จะเกิดได้เมื่อรัฐบาลใหม่ส่งสัญญาณ 3 เรื่องพร้อมกัน ได้แก่ มีเสถียรภาพทางการเมืองเพียงพอที่จะทำให้การทำงานได้อย่างต่อเนื่อง นโยบายทางการคลังที่ชัดเจน และแพ็กเกจยกระดับผลิตภาพที่ทำได้จริงใน 3-5 ปี
ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่ควรใช้เวลา 100 วันทำ 3 อย่างเรียงลำดับ ได้แก่
- ออกกรอบการคลังระยะกลาง 3 ปีแบบมีตัวเลขและเส้นทางหนี้และการขาดดุลชัดเจน หรือที่เรียกว่ากรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF)
- ตั้งวอร์รูมเร่งเอกชนลงทุน เช่น การปลดล็อกใบอนุญาต ผังเมือง พลังงาน ดาต้าเซ็นเตอร์ โลจิสติกส์ เป็นต้น พร้อมสัญญาเชิงผลงานของหน่วยงานรัฐ (Service Level Agreement)
- ทำมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนแบบ "ปรับโครงสร้าง คัดกรอง และตรงเป้า" เพื่อลดวงจรหนี้เสียและฟื้นกำลังซื้ออย่างยั่งยืน
เมื่อถามในเชิงเศรษฐกิจมหภาค...
อะไรคือปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลที่สุดระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล-ความผันผวนค่าเงิน ลงทุนชะลอ หรือความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย ?
ดร.วัชราภรณ์ มองว่าสิ่งที่กังวลมากที่สุดในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล คือ "ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายและทำให้ไทยต้องเผชิญกับภาวะสุญญากาศ" ซึ่งผลกระทบนี้จะขยายวงกว้างไปสู่ความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างของภาคเอกชนไทยและนักลงทุนต่างชาติ เพราะการขาดรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มจะทำให้การอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ การเจรจานโยบายส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน
ตลอดจนการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐต่อเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ
3 ปัญหาที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ปัญหา
ดร.วัชราภรณ์ มองว่าสิ่งที่ควรทำก่อน คือ
- กระตุ้นกำลังซื้อ เนื่องจากเป็นมาตรการที่สามารถทำได้เลย ถือว่าเป็น Quick Win แต่ก็ต้องยอมรับว่าภายใต้งบประมาณที่มีอย่างจำกัด อาจส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวมจำกัดเช่นกัน
- การคลังอ่อนแอ ซึ่งประเด็นนี้จะควบคู่กับประเด็นหนี้สาธารณะที่สูงด้วย เพราะสถานะการคลังเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ รวมถึงการลงทุน โดยรัฐบาลใหม่อาจต้องใช้นโยบายที่มีไทม์ไลน์ชัดเจนต่อการลดหนี้และเพิ่มรายได้ทางการคลัง โดยเฉพาะในแง่ของการเพิ่มรายได้ที่อาจจะต้องดึงคนที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
- แก้หนี้ครัวเรือน แม้ผลของการแก้หนี้ครัวเรือนอาจใช้ระยะเวลานาน แต่มีความยั่งยืนมากกว่า เพราะหากหนี้ครัวเรือนลดลง ครัวเรือนจะมีเงินในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศอย่างยั่งยืน.
นโยบายประชานิยมรอบใหม่ ที่จะถูกใช้เป็นหัวใจหาเสียง? เสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังระยะกลางแค่ไหน?
ดร.วัชราภรณ์ มองว่า ในเชิงยุทธศาสตร์การเมือง มีความเป็นไปได้ที่เราจะเห็นประชานิยมรอบใหม่ถูกนำมาใช้ แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังระยะกลางจะอยู่ในระดับน่ากังวล หากนโยบายนั้นสร้างภาระรายจ่ายผูกพันถาวร หรือเป็นการอุดหนุนราคาแบบปลายเปิดที่ไร้กลไกยุติ
ในทางกลับกัน หากออกแบบให้พุ่งเป้าเฉพาะกลุ่ม มีกรอบเวลาชัดเจน และระบุแหล่งที่มาของเงินอย่างโปร่งใส ความเสี่ยงจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวโดยสรุปคือ ตลาดทุนไม่ได้ตัดสินความเสี่ยงจากชื่อโครงการ แต่จะพิจารณาจากวินัยของการจัดสรรงบประมาณ และเงื่อนไขการสิ้นสุดโครงการเป็นสำคัญ.
ถ้าต้องขึ้นภาษีบางประเภทเพื่อฟื้นเสถียรภาพคลัง อะไรคือภาษีที่กระทบเศรษฐกิจน้อยที่สุด แต่สร้างรายได้มากสุด ?
แนวทางที่กระทบกับเศรษฐกิจน้อยที่สุด ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำในปัจจุบัน คือ การขยายฐานภาษีมากกว่าการเพิ่มอัตราภาษี โดยเฉพาะการดึงคนและธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีให้มากที่สุด
โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ เช่น E-Commerce, Social media, cloud services ที่สร้างรายได้จากผู้บริโภคไทยหรือผู้ประกอบการไทยเป็นจำนวนมาก
แต่ภาระภาษีที่ชำระในประเทศยังต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง.
ถามว่า ไทยผลักดันเศรษฐกิจโตกว่า 3% ต้องปลดล็อกอะไร ?
ดร.วัชราภรณ์ มองว่าหากเป้าหมายคือการยกระดับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ทะลุระดับ 3% อย่างยั่งยืน ตัวล็อกสำคัญลำดับแรกที่ต้องเร่งปลด คือ โครงสร้างระบบราชการและกฎระเบียบ (Regulatory Guillotine) เนื่องจากเป็นคอขวดสำคัญที่บั่นทอนศักยภาพการลงทุนของภาคเอกชน และเป็นอุปสรรคต่อการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อกลไกภาครัฐมีความคล่องตัวและเอื้อต่อการลงทุนแล้ว
ภารกิจเร่งด่วนลำดับถัดไป คือ "การยกระดับคุณภาพทุนมนุษย์ผ่านกระบวนการ Upskill และ Reskill ที่มีดัชนีชี้วัดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม" แม้โครงสร้างประชากรจะเป็นความท้าทายใหญ่ของประเทศ แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าวต้องใช้เวลายาวนาน
ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ จึงไม่ใช่การรอแก้ปัญหาเชิงปริมาณของประชากร แต่เป็นการเร่งสร้างผลิตภาพเชิงคุณภาพ ให้สามารถเอาชนะข้อจำกัดด้านกำลังแรงงานที่ลดลงให้ได้.
ไทยติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางยาวนาน รัฐบาลใหม่ต้องทำอะไรเพื่อหลุดจากวงจรนี้ ?
การที่ไทยติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลางมาเป็นเวลานาน สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่าการที่เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพมาเป็นเวลานาน
โดยมองว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ ระบบภาษีที่ยังไม่เอื้อต่อการยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว แรงงานชนชั้นกลางแบกภาระภาษีมากเกินไปจนทำให้มีรายได้ที่เหลือหลังหักภาษี (Disposable income) ถูกจำกัดอยู่ในระดับต่ำ
ขณะที่ รายได้หรือค่าจ้างแท้จริงเติบโตช้าทำให้ความสามารถในการลงทุนกับการศึกษาที่สูงขึ้น ทักษะใหม่ รวมถึงการสร้างความมั่นคงทางการเงินจึงถูกบั่นทอน รัฐบาลใหม่จึงจำเป็นต้องทำต่างจากที่ผ่านมาด้วยการปรับโครงสร้างระบบภาษีให้เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยดึงคนและธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้นอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ การส่งเสริมธุรกิจระดับฐานราก (Micro Enterprises และ SMEs) อย่างจริงจัง เนื่องจากภาคธุรกิจกลุ่มนี้เป็นแหล่งจ้างงานหลักและเป็นฐานรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่ของประเทศ หาก SMEs ไม่สามารถเติบโตหรือยกระดับผลิตภาพได้ เศรษฐกิจไทยจะติดอยู่กับกิจกรรมมูลค่าเพิ่มต่ำอย่างถาวร
ดังนั้น รัฐบาลใหม่ควรสร้างนโยบายเพื่อผลักดันธุรกิจระดับฐานรากเหล่านี้ให้เติบโตอย่างเป็นระบบ โดยยกระดับให้เป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติด้วยการเอื้อให้เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนถูก ยืดระยะเวลาในการคืนหนี้ เพื่อช่วยลดแรงกดดันด้านสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจขนาดเล็กไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูงขึ้น พร้อมจัดตั้งผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจคอยให้คำแนะนำและส่งเสริมอย่างจริงจัง.
ไทยพร้อมหรือยังกับการปฏิรูปใหญ่ เช่น ภาษีที่ดิน, ยกเครื่องกฎหมายแรงงาน, หรือ ปฏิรูปราชการ ?
หากประเมินตามความเป็นจริง ประเทศไทยอยู่ในสถานะพร้อมแบบมีเงื่อนไข ความสำเร็จของการปฏิรูปไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับต้นทุนทางการเมือง และศิลปะในการบริหารการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลเป็นสำคัญ
สำหรับการปฏิรูปเรื่องละเอียดอ่อนอย่างภาษีที่ดินหรือโครงสร้างราชการ รัฐบาลไม่สามารถใช้วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่ต้องใช้ยุทธศาสตร์แบบขั้นบันได (Phased Approach) ที่มีการออกแบบระยะเวลาเปลี่ยนผ่านให้สังคมปรับตัวได้ เพื่อลดแรงเสียดทานในส่วนของกฎหมายแรงงาน
หัวใจสำคัญ คือ การสร้างจุดสมดุลใหม่ โดยต้องเพิ่มความยืดหยุ่นให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวแข่งขันได้ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐก็ต้องวางระบบสวัสดิการและระบบสร้างทักษะใหม่ที่เปรียบเสมือนตาข่ายรองรับทางสังคมที่เข้มแข็งให้แก่แรงงาน
หากขาดสมดุลนี้ แรงต้านจากผู้เสียผลประโยชน์จะเป็นกำแพงต้านที่ทำให้การปฏิรูปต้องล้มเหลวเหมือนในช่วงที่ผ่านมา.
เลือกตั้ง 2569 เป็น “จุดเปลี่ยนประเทศ” หรือ “ซ้ำปัญหาเดิม” ? อะไรคือปัจจัยตัดสิน ?
ปัจจัยตัดสิน คือ ความสามารถในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมีเอกภาพเชิงนโยบาย โดยหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากที่ชัดเจน จะทำให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้ง การปฏิรูปภาษี การแก้หนี้ครัวเรือน และการเร่งการลงทุน โดยไม่ถูกจำกัดด้วยการต่อรองทางการเมือง ซึ่งมักทำให้นโยบายขาดความต่อเนื่อง ล่าช้า หรือถูกลดทอนจนไม่เกิดผลจริง
ในทางกลับกัน หากรัฐบาลเป็นลักษณะเสียงข้างน้อยหรือรัฐบาลผสมที่ขาดเอกภาพ ความเสี่ยงของการติดหล่มนโยบายจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยนโยบายสำคัญอาจถูกเลื่อนออกไปหรือเปลี่ยนทิศทางบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ
และท้ายที่สุดแล้วอาจทำให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่วงจรเดิมของการเติบโตในระดับต่ำ.
หากเป็นที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจรัฐบาล นโยบายเร่งด่วนและระยะยาวที่สร้างผลกระทบเชิงบวกได้จริงคืออะไร ?
นโยบายเร่งด่วน ได้แก่
1. แก้หนี้ครัวเรือน เพื่อให้ครัวเรือนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
2. ปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีให้เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการขยายฐานภาษีด้วยการคนและธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น ควบคู่กับการลดการขาดดุลการคลัง
3. การส่งเสริมการลงทุน โดยเน้นเพิ่ม Easing to do business เพราะจะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะกลางถึงยาว
ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องเร่งออกนโยบายเชิงรุกแบบ Fast track เพื่อปลดล็อกคอขวดด้านการลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ
หัวใจสำคัญไม่ใช่เพียงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม แต่คือ การลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นของการทำธุรกิจผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบ กระบวนการอนุญาต และลดขั้นตอนราชการให้รวดเร็ว โปร่งใส ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนได้มากขึ้น
4. มุ่งเจรจาการค้าระหว่างประเทศผ่าน FTA หรือขยายคู่ค้าให้มากขึ้น เพราะจะเป็นทางรอดของการค้าและการลงทุนไทยอย่างยั่งยืนในระยะข้างหน้า อีกทั้ง ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ
5. ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง โดยออกนโยบายด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ควบคู่กับการเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวไทยมากขึ้นเช่นเดิม.
นโยบายระยะยาว ได้แก่
- ขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเสริมสร้างพลังงานแห่งอนาคต เช่น โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grid) พลังงานสะอาด Data center และ AI เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง และดึงดูด FDI ระยะยาว
- ขยายโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงภูมิภาค เพื่อเอื้อต่อการขนส่งสินค้า ลดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของ SMEs และเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งภาคส่งออกไทย และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในตัวให้เกิดการขยายไปยังเมืองรองมากขึ้น
- ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ผ่านระบบการศึกษาให้ทันสมัย เพิ่มทักษะแรงงานให้ทันโลกธุรกิจและเทคโนโลยี เพราะสุดท้ายแล้วจะเป็นการยกระดับผลิตภาพแรงงาน ซึ่งเป็นหัวใจของการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง.


