posttoday

ปทุมวันการละคร

02 กุมภาพันธ์ 2556

หลายปีมานี้เวลาดูข่าวเกี่ยวกับตำรวจ หลายท่านอาจจะมีความรู้สึกเหมือนผู้เขียนคือทำไมจึงจะต้องมีการจัดฉากแถลงข่าวกันวุ่นวาย

หลายปีมานี้เวลาดูข่าวเกี่ยวกับตำรวจ หลายท่านอาจจะมีความรู้สึกเหมือนผู้เขียนคือทำไมจึงจะต้องมีการจัดฉากแถลงข่าวกันวุ่นวาย

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

หลายปีมานี้เวลาดูข่าวเกี่ยวกับตำรวจ หลายท่านอาจจะมีความรู้สึกเหมือนผู้เขียนคือทำไมจึงจะต้องมีการจัดฉากแถลงข่าวกันวุ่นวาย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมาฮิตเอาในยุคที่ท่านรัฐมนตรีไอเดียกระฉูดแห่งกระทรวงมหาดไทย คือท่านเสนาะ เทียนทอง ผู้เปลี่ยนนามกรของยาม้ามาเป็นยาบ้า ในเวลาที่แถลงข่าวก็จะให้ตำรวจเอาเม็ดยาที่ยึดได้มาเรียงเป็นตัวอักษรคำว่า “ยาบ้า” เวลาอธิบายก็จะได้เห็นภาพชัดๆ ที่สำคัญผู้ชมก็ได้รับการตอกย้ำคำว่า “ยาบ้า” จากภาพข่าวนั้นด้วย

จากนั้นเวลาที่ตำรวจแถลงข่าวไม่ว่าคดีใดๆ ก็จะต้องมีการจัดฉากให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างคดีอาชญากรรมต่างๆ ก็จะมีการทำข่าวการจับกุมอย่างละเอียดยิบ เวลาที่ทำแผนประกอบคำรับสารภาพก็จะเห็นขั้นตอนการทำอาชญากรรมในคดีนั้นๆ ทุกขั้นตอน โดยไม่ต้องหวาดเกรงว่าจะมีใครลอกเลียนแบบหรือไม่ หรือภาพข่าวเหล่านี้จะเผยแพร่ไปยังประชาชนกลุ่มใดบ้าง(เช่นเยาวชน) แม้กระทั่งในคดีข่มขืนก็จะมีการให้ผู้ร้ายขึ้นคร่อมและขยับเขย่าร่างกายเข้าจังหวะเหมือนกำลังประกอบกิจนั้นอยู่จริงๆ ส่วนนักข่าวและช่างภาพต่างๆ ก็แออัดกันทำภาพและข่าวอย่างเมามัน เหมือนภาพอันเหี้ยมโหดและอุจาดเหล่านั้นจะทำให้เขาได้รับรางวัลพูลิตเซอร์

แม้ว่าจะมีการปิดหน้าผู้เสียหายที่เป็นเยาวชน หรือมีการทำเบลอบนภาพที่หวาดเสียว แต่นั่นก็ยิ่งเป็นการยั่วยุต่อมความอยากรู้อยากเห็นให้มากยิ่งขึ้น และที่เป็นความเสื่อมทรามทางจริยธรรมของตำรวจและสื่ออย่างมากก็คือ มีการนำภาพเหล่านี้ที่ไม่ผ่านการปกปิดใดๆ ไปเผยแพร่ในโซเชี่ยลมีเดีย หรือแม้กระทั่งนิตยสารในแนวอาชญากรรมทุกฉบับก็มีการเผยแพร่ภาพเหล่านี้อย่างโจ๋งครึ่ม นัยว่ายิ่งทำให้ขายดีเพราะสนองต่ออารมณ์ซาดิสม์ของผู้อ่านบางกลุ่มที่ชื่นชอบความอุจาดลามก ไม่เว้นแม้แต่ในรายการข่าวของทีวีทั้งหลายก็แข่งกันเสนอภาพและคลิปข่าวที่ทุเรศและเขย่าขวัญ แถมผู้อ่าน(เล่า)ข่าวบางคนก็มีการออกเสียงเร้าอารมณ์ประกอบไปด้วย

ปทุมวันการละคร

 

ถ้าจะแปลงกาพย์พระไชยสุริยาในหนังสือเรียนยุคโบราณมาบรรยายปรากฏการณ์อย่างนี้ก็ต้องเขียนว่า

“พารายิ่งกาลี ใครไม่มีปราณีใคร

สื่อสารกันตามใจ เอาแต่ได้กันให้พอ”

พี่ชายของผู้เขียนจบจากนายร้อยตำรวจสามพราน เคยถามเขาว่าปริญญาบัตรของตำรวจเป็นบัณฑิตด้านใด เขาก็เอามาให้ดูซึ่งก็เขียนไว้ว่า “วิทยาศาสตรบัณฑิต” แต่นั่นเป็นปริญญาบัตรเมื่อกว่า 30 ปีมาแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าปัจจุบันนี้เขายังให้ปริญญาทางด้านนี้หรืออยู่หรือเปล่า เพราะถ้าดูจากสื่อต่างๆ น่าจะจบมาทางนิเทศศาสตร์หรือการละครนั้นมากกว่า

ผู้รู้บางคนบอกว่าตำรวจนี่แหละที่เป็น “บิดาแห่งวิชาการละคร” ให้กับนักการเมือง เพราะตำรวจมีความเชี่ยวชาญในเรื่องอย่างนี้มาก่อนนักการเมือง (อย่างนั้นกรณีการเรียงอักษรเป็นคำว่ายาบ้าในสมัยของฯพณฯเสนาะ เทียนทอง ก็น่าจะเป็นฝีมือการจัดฉากของตำรวจ) อย่างวัฒนธรรมของการเล่นละครที่ในยุคเจ้าขุนมูลนาย เวลาที่เจ้านายทั้งหลายท่านชอบตัวละครตัวใด(ที่อาจจะเล่นเก่งหรือรำสวยถูกใจแม้กระทั่งหน้าตาดี)ก็จะให้เครื่องประดับ เช่น แหวน เป็นรางวัล ดังนั้นในสมัยที่มีอัศวินตำรวจในยุคพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ถ้าใครไปทำอะไรเป็นที่ถูกใจ(เช่น ไปกำจัดศัตรูทางการเมืองหรือรีดไถมาแบ่งให้นายได้มากๆ)ก็จะมอบแหวนเพชรให้เป็นรางวัล กระทั่งสื่อเรียกบรรดานายตำรวจเหล่านี้ว่า “อัศวินแหวนเพชร”

พูดถึงตำรวจที่ออกสื่อเก่งๆ คนหนึ่งที่อยู่ในระดับเยี่ยมยุทธ์ก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง บ้างก็ว่าเพราะท่านเป็นตำรวจกองปราบ(อย่างที่ท่านชอบคุยโม้ว่าแผนกที่ท่านคุมอยู่นั้นเรียกว่า “สารวัตรประเทศไทย”) และสำนักงานในยุคนั้นตั้งอยู่ที่สามยอด ที่กองปราบปรามสามยอดมีสถานีวิทยุที่ฮิตเอามากๆ ก็คือวิทยุตำรวจสามยอด รายการยอดนิยมส่วนหนึ่งก็คือรายการละคร เรียกละครวิทยุคณะนั้นคณะนี้ ว่ากันว่าบางทีคลื่นวิทยุที่เต็มไปด้วยบทละครเหล่านั้นลอยไปลอยมาซึมเข้าไปในร่างของท่านสารวัตรเหลิมโดยบังเอิญ จึงให้ลีลาต่างๆ ของท่านดูเนียนอย่างที่เห็น

คอการเมืองยุคเก่าๆ ราว 30 ปีที่แล้ว คงจะจำได้ว่าสารวัตรเหลิมเดิมเคยเป็น ส.ส.สังกัดคอกประชาธิปัตย์ ด้วยความที่มีลีลาการพูดฉะฉานเร้าใจได้จังหวะเหมือนนายสมัคร สุนทรเวชไม่ผิดเพี้ยน กลายเป็นดาวสภาขึ้นมาอย่างทันควัน สื่อสมัยนั้นจึงตั้งฉายาท่านว่า “เหลิมดาวเทียม” คือโด่งดังจากการเลียนแบบ แต่บ้างก็ว่าฉายานี้น่าจะได้มาเพราะท่านไปเกี่ยวข้องกับการให้สัมปทานดาวเทียมแก่ตำรวจคนหนึ่ง(ที่ต่อมาเติบใหญ่เป็นถึงนายกรัฐมนตรี) ซึ่งผู้เขียนขอเถียงเพราะไม่เชื่อว่าท่านจะทำอะไรชั่วๆ อย่างนั้น เพราะครั้งหนึ่งเคยไปสัมภาษณ์ท่านเพื่อทำวิจัยเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.(ในปีที่พรรคมหาชนของท่านส่ง ดร.นิยม ปุราคำ สมัครชิงตำแหน่ง) ผู้เขียนแซวท่านตอนท้ายๆ ของการสัมภาษณ์ว่า มีคนเขาว่าท่านเป็นคนไม่ดีท่านรู้สึกอย่างไร คำตอบที่ได้กลายเป็นคำคมที่ลึกซึ้งและกินใจผู้เขียนมาตลอดคือท่านตอบว่า “คนเราเลวได้ แต่อย่าชั่ว” (???)

พูดถึงตำรวจที่แสดงบทต่างๆ ได้เนียนมากๆ อีกคนหนึ่งก็คือผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 9 ในครั้งนี้ที่ชื่อพล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ ที่แสดงได้ทุกบทบาท ตั้งแต่ก่อนสมัครวันรับสมัครก็แสดงบท “ชมบ” ได้อย่างน่าตื่นเต้น (ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ชอบเรียกใครก็ตามที่ชอบหลบหน้าว่า “ทำตัวเหมือนชมบ” ใครที่อยากรู้ว่าแปลว่าอะไรก็เปิดดูพจนานุกรมดูได้) แม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยก็พูดได้แต่ว่ายังไม่แน่ แต่พอถึงวันแถลงข่าวเปิดตัว เช้านั้นก่อนที่จะมีการแถลงข่าวป้ายติดรูปของท่านก็วางไปทั่วถนนทุกสายในกรุงเทพฯ พอวันสมัครครั้นได้หมายเลขแล้วตอนเกือบเก้าโมง ยังไม่ทันเที่ยงตัวเลขเบอร์ 9 ก็ถูกแปะลงบนป้ายเหล่านั้น ในขณะที่เคยแถลงข่าวว่าไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวอะไรเลย จึงเป็นการแสดงออกที่ผิดไปจากคำพูดที่เคยกล่าว ซึ่งถ้าไปถามวัยรุ่นสมัยนี้ก็จะมีคำเรียกอยู่มากมาย แม้กระทั่งเป็นชื่อของผลไม้ที่หอมหวาน(เปรี้ยวนิดๆ)น่ากิน

แตกต่างกับนายตำรวจที่ลงสมัครด้วยอีกคนหนึ่งคือ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส ที่ออกจะเกร็งๆ (ออกแนวเกรียนๆ มากกว่า)เวลาที่ออกสื่อ ความที่รู้จักคุ้นเคยกับทีมงานของท่านคนหนึ่งเป็นการส่วนตัวจึงให้คำแนะนำท่านไปว่า น่าจะทำตัวให้หน่อมแหน้มติดดินเสียหน่อย รวมทั้งให้เน้นย้ำความเป็นคนที่ซื่อสัตย์เสียสละทุ่มเท เช่น ควรแสดงความนอบน้อมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกที่ที่ไปหาเสียงแล้วให้สัตยาบันแก่ผู้เลือกตั้งในทุกสถานที่ที่ไปหาเสียงนั้นว่าจะทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอันเป็น “โลโก” ของท่าน แต่ท่านก็เขินๆ จึงไม่ค่อยเป็นข่าวอะไรให้คนได้ฮือฮา ในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นๆ เขาออกแนว “ประหลาด” จนเกินมนุษย์มะนาและได้ดังเป็นข่าวทุกคน

เชื่อเถอะว่าคนที่จะชนะคือคนที่ทำตัวได้ “ประหลาด” ที่สุดนั่นเอง อย่างน้อยพวกเราที่ไปเลือกตั้งท่านมาเป็นผู้ว่าฯก็ต้องประหลาดใจในท้ายที่สุด(เมื่อเวลาผ่านไปอีก 4 ปี)ว่า “ตูเลือกโปเตโต้มาทำไม ไม่เห็นโปเตโต้จะทำตามคำพูดที่หาเสียงไว้เลย”

ผู้เขียนเป็นแฟนคลับของทีมฟุตบอลอังกฤษทีมหนึ่งที่สนามแข่งของเขามีชื่อเรียกว่า “Theatre of Dream” หรือ “โรงละครแห่งความฝัน” บางทีคนที่ทำงานอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างที่บางทีก็เรียกว่า “กรมปทุมวัน” อาจจะเป็นแฟนคลับของสโมสรฟุตบอลทีมนี้อยู่ด้วย จึงพยายามที่จะสร้างภาพให้กิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานนี้ดูคล้ายๆ เป็นความฝันไปเสียทั้งหมด

กรมปทุมวันในยุคอัศวินแหวนเพชร หน่วยงานนี้มีคำขวัญว่า “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” ซึ่งยังคงเป็นจริงตามนั้นอยู่ในปัจจุบัน เพราะถ้าคิดจะจับใครก็จับได้(อย่างเรื่องเจ้าพ่อเมืองชล) คิดจะปล่อยใครก็ปล่อยได้(อย่างตำรวจด้วยกันที่เมืองเพชร)

คิดจะหลบหนีกฎหมายไปตลอดชีวิตก็ได้(อย่างใครคนนั้น)

 

ข่าวล่าสุด

ยุคทอง YouTube Podcast เดือนเดียวยอดชมบนทีวีพุ่ง 700 ล้านชั่วโมง