เสื้อแดงเหนื่อยเศรษฐกิจแรงไม่ตก
หากยืดเยื้อกันต่อไป โดยไม่มีการพบกันครึ่งทาง สิ่งที่จะเกิดจากนี้ไป ฟันธงได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ด้วยเศรษฐกิจโลกเท่านั้น และปัญหาของประเทศไทยก็จะยังไม่จบ
หากยืดเยื้อกันต่อไป โดยไม่มีการพบกันครึ่งทาง สิ่งที่จะเกิดจากนี้ไป ฟันธงได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ด้วยเศรษฐกิจโลกเท่านั้น และปัญหาของประเทศไทยก็จะยังไม่จบ
โดย...ทีมข่าวการเงิน
ยกที่สามของการเจรจาผ่าทางตันทางการเมือง ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแกนนำคนเสื้อแดง จะเริ่มขึ้นอีกครั้งในวันที่ 1 เม.ย.นี้
ประเด็นยังวนเวียนอยู่ในเรื่องเดิมๆ คือ เมื่อไหร่จะยุบสภา
ความต้องการที่ยังแตกต่างระหว่างรัฐบาล และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อยากยุบสภาในเงื่อนเวลาที่ต่างกัน โดยรัฐบาลยกเหตุผลเรื่องความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะได้รับ หากตัดสินใจยุบสภาในเวลาที่ไม่เหมาะสม นายกรัฐมนตรีคิดว่าเวลาที่เหมาะสมคือในอีก 9 เดือนข้างหน้า แต่กลุ่มคนเสื้อแดงยื่นเงื่อนไขรัฐบาลต้องยุบสภาใน 15 วัน
ปัญหาก็คือ การยุบสภานั้น จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อภาวะเศรษฐกิจไทย จริงหรือไม่
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงื่อนเวลาในการยุบสภา คงไม่ใช่ประเด็นที่กระทบกับภาวะเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้ เพราะเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก
ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจไทยออกมาดีเกินคาด เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้น ทำให้ภาคการส่งออกดีมาก รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวดีขึ้น จึงเชื่อว่าไตรมาส 1 และ 2 เศรษฐกิจไทยจะไปได้ดี ห่วงก็แต่ครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจโลกอาจแผ่วลง จากสัญญาณจากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น และจีน
“การยุบสภาน่าจะตัดสินใจบนพื้นฐานว่าจะช่วยบรรเทาความขัดแย้ง ความแตกต่างทางความคิดได้หรือไม่” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ประเด็นด้านเศรษฐกิจไทยนั้นขึ้นกับเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ก็เป็นเรื่องจริง การยุบสภาอาจกระทบกับการเบิกใช้เงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พูดอย่างไม่เข้าข้างใคร ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น ขณะที่ตัวเลขการเบิกจ่ายมีไม่มาก และไม่แน่ใจว่าในอนาคตโครงการต่างๆ จะเดินหน้าได้เร็วแค่ไหน
สิ่งที่นายเศรษฐพุฒิมองนั้น ไม่ต่างจากที่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยนั้นพึ่งพาการส่งออกถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ดังนั้น เมื่อการส่งออกขยายตัวเป็นเลขสองหลัก จึงเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้มาก
อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองจะเกิดขึ้นกับการบริโภคในประเทศมากกว่า และเรื่องการท่องเที่ยว ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ในเรื่องของงบประมาณก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะในช่วงที่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยุบสภา งบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้นก็ทำไม่เสร็จ รัฐบาลใหม่มาก็มาดำเนินการต่อ
“ประเด็นคือในระหว่างที่ไม่มีความชัดเจนนี้ และเกิดความวุ่นวายทางการเมือง รัฐบาลก็ไม่มีเวลาทำงาน มัวแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า งบประมาณช่วงนี้ก็ไม่ออก เศรษฐกิจในระดับล่างๆ อย่างเอสเอ็มอีก็ได้รับผลกระทบมาก ในขณะที่ธุรกิจรายใหญ่ที่เน้นส่งออก แทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย” นายอนุสรณ์ กล่าว
เหตุผลที่สนับสนุนว่า การยุบสภาจะไม่ได้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยนั้นถูกจัดทำให้ขับเคลื่อนโดยข้าราชการประจำ และเอกชน ก็คือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เป็นแห่งแรกที่ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีปี 2553 เป็น 4.5% จากเดิมคาดไว้ 3.5%
เหตุผลสำคัญที่ปรับขึ้นตัวเลขจีดีพี คือ ภาคการส่งออกขยายตัวดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัวดีเกินคาดประกอบกับการใช้จ่ายในประเทศปรับเพิ่มขึ้น จากรายได้ภาคเกษตรเป็นสำคัญ
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า หากการเมืองไม่มีเหตุรุนแรงจนกระทบเครื่องชี้เศรษฐกิจ ก็มีความเป็นไปได้ที่ ธปท.จะปรับประมาณการจีดีพีเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ 3.5-5.3%
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินผลกระทบจากการชุมนุมของ นปช. ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา พบว่าทำให้ประเทศไทยสูญรายได้ทางเศรษฐกิจไปแล้วกว่า 7,500-14,000 ล้านบาท
ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุด รายได้เฉลี่ยในช่วงที่มีการชุมนุมลดลง 15% หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายถึงวันละ 200-500 ล้านบาท รองลงมาคือการบริโภคในประเทศที่ลดลง 10% มูลค่าความเสียหายวันละ 500-800 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ยังมีมุมมองที่แตกต่างจากนายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่เห็นว่า คำถามว่ายุบสภาช่วงไหนดีต่อเศรษฐกิจนั้นตอบยาก เพราะมีความเชื่อด้านการเมืองมาเกี่ยวข้อง ต่างคนมีมุมมองที่หลากหลายว่าการยุบสภาเป็นทางออกของปัญหาจริงไหม จึงขอพูดเฉพาะมุมเศรษฐกิจ ว่าการยุบสภาจะกระทบกับโครงการที่กำลังทำอยู่ ทั้งมาบตาพุด และไทยเข้มแข็ง เรื่องเงินงบประมาณก็ยังไม่ได้เข้าสภา การเบิกจ่ายงบประมาณถึงตอนนี้ก็ยังช้าอยู่ ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้สำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะ 10% ของจีดีพีแต่ก็เป็นเงินจำนวนมาก
“ความไม่แน่นอนทางการเมืองมีมานานพอสมควรแล้ว แต่ถ้ารัฐบาลประคองสถานการณ์ที่อ่อนไหวได้ดี การชุมนุมประท้วงไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง เศรษฐกิจก็ไม่น่าจะออกมาเลวร้ายมาก” นายเชาว์ กล่าว
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย กล่าวว่า การเบิกจ่ายงบประมาณที่ต่อเนื่องและชัดเจน รวมถึงการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณให้เรียบร้อยก่อนการยุบสภานั้น จะเป็นผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศมากกว่า
เรื่องของการยุบสภากระทบต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหนนั้น นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สิ่งที่นักธุรกิจต้องการคือความชัดเจนมากกว่า การยุบสภามีประเด็นที่ต้องคิดเพราะเป็นดาบสองคม หากระยะเวลาในการยุบสภาทอดนานเกินไป และระหว่างนั้นไปเกิดความรุนแรงขึ้นเพราะมวลชนรอไม่ไหว จะเกิดผลร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่ายุบสภาเร็ว แต่ถ้าหากยุบสภาเร็วเกินไปจนจะทำให้เกิดผลกระทบบ้างกับการแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และกฎหมายหลายฉบับที่รัฐบาลเสนอแก้ไขอยู่
อย่างไรก็ดี การจับเอาประเทศชาติเป็นตัวประกันของทั้งสองคู่เจรจาที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ต่างใช้ภาวะเศรษฐกิจเป็นข้อต่อรองด้วยกันทั้งคู่
ทางรัฐบาลก็บอกว่า เศรษฐกิจกำลังไปได้ดีไม่อยากให้เกิดการสะดุด จึงควรจะให้เวลา 9 เดือน ก่อนยุบสภา
ทางด้านกลุ่มคนเสื้อแดง ก็เย้วๆ ให้มีการใช้ความรุนแรงโดยหวังว่า หากทำให้เศรษฐกิจเลวลงมากๆ ประชาชนทนไม่ไหวจะลุกฮือมาต่อต้านรัฐบาล
หรือเลือกตั้งใหม่คราวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อย่าฝันว่าจะได้ 245 เสียงอย่างที่ตั้งเป้า
แต่เศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ทำให้เหตุผลของทั้งสองฝ่ายมองได้|ยากว่าใครมีเหตุผลเพื่อชาติและประชาชนมากกว่ากัน
สำหรับภาคเอกชนนั้น จะยุบสภาเมื่อไหร่ อย่างไร ก็ได้ แต่ขอให้มีความชัดเจน เพื่อนำเอาความชัดเจนไปวางแผนธุรกิจ
แต่หากยืดเยื้อกันต่อไป โดยไม่มีการพบกันครึ่งทาง สิ่งที่จะเกิดจากนี้ไป ฟันธงได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ด้วยเศรษฐกิจโลกเท่านั้น และปัญหาของประเทศไทยก็จะยังไม่จบ คงจะต้องลากปัญหาต่อเนื่องไป จนกว่าข้างไหนจะหมดแรง
และคนที่ลำบากที่สุดจะเป็นแรงงานในภาคที่ไม่เกี่ยวกับการส่งออก เช่น การท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งเอสเอ็มอีต่างๆ ซึ่งรัฐบาลจะใช้วิธีการเยียวยาเฉพาะกลุ่มช่วยเหลือได้
งานนี้กลุ่มคนเสื้อแดงจะแพ้เปรียบตรงที่ทำให้เศรษฐกิจเลวเพื่อให้รัฐบาลดูแย่ ก็กดไม่ลงเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งเศรษฐกิจโลกมากกว่า
ฉะนั้น การพบกันครึ่งทางจะเกิดขึ้นในที่สุด แต่จะอยู่ที่การเจรจายกไหน ต้องจับตาดูกันต่อไป


