posttoday

ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภา

30 มีนาคม 2553

ในขณะนี้ได้มีร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรในขั้นรับหลักการแล้ว โดยร่างกฎหมายดังกล่าวได้ออกมาเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 135 วรรคสอง ได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่คณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ให้มีอำนาจออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำหรือเรื่องที่พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาอยู่ได้ และให้ออกกฎหมายขึ้นมารับรอง เพื่อให้คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับได้ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวช่วยสร้างระบบการตรวจสอบและการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ให้มีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และเพื่อให้การใช้อำนาจของคณะกรรมาธิการในการทำกิจการพิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใดๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล อีกทั้งให้คำสั่งเรียกดังกล่าวมีผลบังคับตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อำนาจออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกรณีผู้ถูกสั่ง หรือถูกเรียกต้องมาด้วยตนเองและในกรณีที่มีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการ รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการในกรณีที่ผู้ถูกสั่งหรือเรียกจงใจฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งหรือเรียกของคณะกรรมาธิการ เพื่อนำไปสู่กระบวนการลงโทษต่อไป

หากพิจารณาถึงบทบาทของคณะกรรมาธิการของประเทศไทย จะเห็นว่าคณะกรรมาธิการมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานของรัฐสภา เป็นคณะทำงานเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ก่อนเข้าสู่สภา และพิจารณาสอบสวนและศึกษาประเด็นปัญหาต่างๆ อย่างรอบคอบแล้วรายงานเสนอต่อสภา รวมถึงอำนาจในการออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบสวนอยู่ เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่มีความสำคัญ และมีโอกาสที่จะเข้ามาตรวจสอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ หากพิจารณาเปรียบเทียบกับคณะกรรมาธิการของประเทศอังกฤษนั้นก็มีความคล้ายคลึงกันมาก ทั้งบทบาทหน้าที่และอำนาจในการออกคำสั่งเรียกเอกสารหรือบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง อีกทั้งยังได้กำหนดให้อำนาจแต่ละสภามีอำนาจลงโทษผู้ทำผิดฐานละเมิดอำนาจสภา โดยอำนาจของกฎหมายและประเพณีของรัฐสภา ซึ่งอำนาจดังกล่าวเทียบได้เท่ากับอำนาจเด็ดขาดของศาลในการลงโทษผู้ละเมิดอำนาจศาล ในขณะที่ประเทศเยอรมนี เบลเยียม กรีซ อิตาลี สเปน และเนเธอร์แลนด์ มีประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นกำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าวไว้ ส่วนประเทศฝรั่งเศส ฟินแลนด์ ปากีสถาน และญี่ปุ่นไม่มีกฎหมายระบุความผิดไว้เป็นพิเศษ ซึ่งจากประเด็นดังกล่าวในเรื่องอำนาจในการออกคำสั่งเรียกเอกสารหรือบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงนั้น ในทางปฏิบัติคณะกรรมาธิการของประเทศไทยพบปัญหาเรื่องการเรียกเอกสารจากบุคคลหรือหน่วยงาน หรือเรียกบุคคลจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพื่อมาแถลงข้อเท็จจริง เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ และทำให้ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน

ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการมีปัญหาด้านความคล่องตัว และปัญหาในการเรียกบุคคลหรือหน่วยงานมาชี้แจงข้อเท็จจริง ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของกรรมาธิการขาดประสิทธิภาพ เกิดปัญหาในการทำงาน ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อาจทำให้ความคล่องตัวในการทำงานของคณะกรรมาธิการเพิ่มมากขึ้น แต่หากมองอีกมุมหนึ่งนั้น กฎหมายดังกล่าวอาจเป็นการให้อำนาจแก่คณะกรรมาธิการมากเกินไป เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดบทลงโทษทางอาญา โดยผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จากมาตราการลงโทษที่กล่าวมานี้จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากอาจมีการใช้อำนาจไปในทางมิชอบ และใช้อำนาจในการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นการที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การเพิ่มอำนาจดังกล่าวให้คณะกรรมาธิการเป็นการเหมาะสมหรือไม่ และการเพิ่มอำนาจดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพต่อเอกชนมากเกินไปหรือไม่ จากกรณีปัญหาที่กล่าวมา เห็นได้จากตัวอย่างในอดีตของคณะกรรมาธิการฝ่ายสอบสวนและควบคุมของประเทศฝรั่งเศสที่มีอำนาจอย่างไม่จำกัดและยังสามารถเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้การเป็นพยานได้ หากบุคคลนั้นๆ ไม่มาตามคำสั่งอาจถูกพิจารณาลงโทษทางกฎหมาย ซึ่งทำให้คณะกรรมาธิการดังกล่าวใช้อำนาจเกินขอบเขตในบางคราว ยิ่งไปกว่านั้นหากพิเคราะห์รัฐธรรมนูญไทย มาตรา 135 จะพบว่าการให้อำนาจดังกล่าวแก่คณะกรรมาธิการ ก็เพื่อต้องการให้หนังสือเชิญหรือหนังสือเรียกบุคคลหรือเอกสารมีประสิทธิภาพและผลบังคับในทางปฏิบัติมากขึ้น สำหรับปัญหาในเรื่องมาตรการลงโทษผู้ฝ่าฝืน ที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดโทษไว้ ควรที่จะเพิ่มบทยกเว้นหรือไม่ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้บุคคลที่ถูกเรียกไม่สามารถมาให้คำชี้แจงได้ หรือเหตุที่ไม่สามารถนำเอกสารที่ถูกเรียกส่งมาเพื่อพิจารณาได้ โดยบุคคลดังกล่าว หรือหน่วยงานควรต้องทำหนังสือชี้แจงเหตุผลที่ไม่มาหรือไม่สามารถนำส่งเอกสารได้ ยื่นต่อคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาเป็นกรณีไป ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจมีกำหนดโทษทางวินัย สำหรับข้าราชการที่ไม่มาชี้แจงหรือให้ข้อมูล โดยแจ้งไปยังหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อลงโทษ หรือเพิ่มมาตรการในการออกหมายเรียกบุคคลหรือเอกสารจากหน่วยงานหรือเอกชน โดยผ่านกระบวนกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งผ่านทางประธานรัฐสภา หรือประธานของแต่ละสภา เพื่อให้การออกหมายเรียกดังกล่าวมีประสิทธิผล และเพิ่มการควบคุมตรวจสอบอีกขั้นหนึ่ง

การที่รัฐธรรมนูญให้ความสำคัญ และอำนาจกับระบบกรรมาธิการของรัฐสภา ก็เพื่อให้เป็นกลไกที่เป็นที่พึ่งของประชาชนในการตรวจสอบอำนาจอื่นๆ ระบบกรรมาธิการที่เข้มแข็ง จะทำให้การเมืองมีระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นช่องทางที่จะใช้หารือประเด็นต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์โดยรวมของชาติ รวมถึงทำให้การทำงานของคณะกรรมาธิการมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นอำนาจที่เพิ่มขึ้นของคณะกรรมาธิการจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ก็อาจจะเกิดปัญหาในระยะยาวตามมา หากมีการใช้อำนาจไปในทางที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจคณะกรรมาธิการฉบับนี้ ควรจะต้องได้รับการพิจารณาพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเพื่อป้องกันไม่ให้อำนาจดังกล่าวถูกนำมาใช้เกินขอบเขต และควรหาทางออกที่ไม่กระทบต่อเอกชนมากเกินไป ก่อนที่จะผ่านออกมาเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป

ข่าวล่าสุด

อาลัยวีรชน “เนิน 350” อนุทินลั่นไม่ทิ้งญาติ ย้ำรัฐเยียวยาเต็มที่