posttoday

เสธ.อ้าย ไฉนม้วนเดียวจอด

26 พฤศจิกายน 2555

ถ้าเป็นอารมณ์ม็อบ คงต้องบอกว่าไม่สมราคาคุย อุตส่าห์โหมโรงมานานว่า มีไม้เด็ดไล่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

ถ้าเป็นอารมณ์ม็อบ คงต้องบอกว่าไม่สมราคาคุย อุตส่าห์โหมโรงมานานว่า มีไม้เด็ดไล่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนฝ่ายรัฐบาลต่างผวาเตรียมกำลังมโหฬารและออก พ.ร.บ.ความมั่นคงรองรับการทำงานของเจ้าหน้าที่ สุดท้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย กลับสลายการชุมนุมอย่างรวดเร็ว

แทบไม่มีใครเชื่อแม้แต่ฝ่ายรัฐบาลเอง ว่า เสธ.อ้าย จะยุติการชุมนุมแต่ไก่โห่ ทั้งที่หากจะยกระดับการชุมนุมก็ทำได้ไม่ยาก เพราะฝ่ายตำรวจ “จัดหนัก” จากชุดแก๊สน้ำตาถึงสองครั้งสกัดกั้นประชาชนไม่ให้เข้าพื้นที่ใกล้ทำเนียบรัฐบาล

“ผมขอพูดต่อหน้าชาวบ้านทุกคน พล.อ.บุญเลิศได้ตายไปแล้ว และผมจะไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง และไม่ได้ส่งไม้ต่อให้กับใคร ผมขอโทษที่ทำให้ทุกคนลำบาก”

คำประกาศยอมแพ้บนเวทีของเสธ.อ้ายในช่วงเย็น หลังยอมยุติการชุมนุม เล่นเอาเหล่าแนวร่วมและผู้ชุมนุมต่างอารมณ์ค้าง ไม่พอใจหาว่านกกระจอกไม่ทันกินน้ำยกธงซะแล้ว

ม็อบองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) นอกจากล้มรัฐบาลไม่ได้ ไม่มีอะไรติดมือกลับมา แถมยังบาดเจ็บและเสียเครดิตกลับมา เมื่อถูกรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แกนนำแดงเย้ยหยัน ม็อบ “ม้วนเดียวจบ” จริงๆ

กระทั่งภาพบาดใจที่สร้างความเจ็บแค้นให้กับฝ่ายต้านทักษิณ ในคลิปที่ตำรวจด่าม็อบ “โง่ถูกเขาจูงจมูก” ภาพตำรวจชูนิ้วกลางใส่ม็อบผู้ชุมนุม 137 คน ส่วนหนึ่งเป็นคนแก่ถูกกระชากและจับกุมไว้ที่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จ.ปทุมธานี

ความล้มเหลวของ เสธ.อ้าย ที่ไม่บรรลุเป้าหมายการชุมนุม ตรงกันข้าม เสธ.อ้าย กลับขอ“แช่แข็ง”ตัวเอง มีปัจจัยจากหลายประการ

ประการที่หนึ่ง ไม่มีมวลชนเข้าร่วมมากพอแม้เสธ.อ้ายประกาศว่า จะคึกคักเป็นเรือนแสนแต่เป้าจริงหวังอยู่ที่ 5 หมื่นคน เอาเข้าจริงมีเพียง 1-2 หมื่นคน เมื่อคนน้อยทำให้ม็อบไม่มีแรงกดดันรัฐบาล โดยเฉพาะในจุดที่ต้องการกดดันตำรวจ “มัฆวานฯ-มิสกวัน” มีเพียงหลักพันฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งเตรียมการอย่างดีจึงรักษาพื้นที่ได้อย่างเหนียวแน่น

ยอดผู้ชุมนุมที่ เสธ.อ้าย หวังลึกๆ ครึ่งแสนจะแน่นยาวตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้า ไปถึงสะพานผ่านฟ้าฯ กลับมีน้อยอย่างน่าใจหาย จึงเป็นปัจจัยชี้วัดความล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น

เหตุที่คนเข้าร่วมไม่มาก ทั้งที่เดิมฝ่ายรัฐบาลวิเคราะห์ว่า จะมีมวลชนราว 6 หมื่นคน โดยหลักๆ จะมาจากพรรคประชาธิปัตย์ที่จัดม็อบภาคกลาง ภาคใต้ เข้าร่วมกับ อพส.แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่กลับเป็นสันติอโศก เครือข่ายพันธมิตรบางส่วน ส่วนคนกรุงเทพฯชนชั้นกลางที่ไม่ชอบรัฐบาลมีไม่มากเท่าที่ควร เพราะเป้าหมายและยุทธวิธีของ อพส. ไม่ได้รับการตอบสนองจากคนส่วนใหญ่

ประการที่สอง ยุทธศาสตร์ของ อพส.ที่ต้องการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยอ้างว่าจาบจ้วงสถาบัน ยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลมากพอ คนส่วนหนึ่งไม่ชอบที่มีการยกเหตุผล “ล้มล้างสถาบัน” มาเป็นเครื่องมือล้มล้างฝ่ายตรงข้าม บางส่วนอาจไม่พอใจที่อ้างตัวเองเป็นฝ่ายรักและเทิดทูนสถาบันเพียงผู้เดียว การปลุกกระแสล้มเจ้ามาขับไล่จึงยังไม่มีพลังพอ

ประการที่สาม ยุทธวิธีของ อพส.ที่ว่า มีไม้เด็ดล้มรัฐบาลได้ กลายเป็นว่า ใช้ม็อบเป็นแรงส่งต่อให้ทหารใช้อำนาจขับไล่รัฐบาล หรืออย่างที่ เสธ.อ้าย บอกต้องการให้ทหารออกมาปฏิวัติ และมีนายกฯ พระราชทาน ตั้งคณะบุคคลพิเศษมาบริหารประเทศเป็นเวลา 5 ปี

ระหว่างการชุมนุม เสธ.อ้าย และแกนนำ ได้ประกาศบนเวทีลานพระบรมรูปฯ หลังผู้ชุมนุมถูกแก๊สน้ำตา ทิ้งไพ่ตายเรียกร้องให้ทหารออกมาช่วยผู้ชุมนุมเพราะถูกตำรวจกลั่นแกล้ง

ด้วยยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของ อพส.นี้เป็นแนวทางที่คับแคบ ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย จึงแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น เป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีนับเดือน จากประเด็น “แช่แข็ง” ทำให้ประเทศล้าหลัง ที่ให้ทหารออกมายึดอำนาจ ไม่เอาการเลือกตั้ง แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ยังไม่สนับสนุน และไม่สามารถขยายแนวร่วม ปัญญาชน นักวิชาการได้

ประการที่สี่ โครงสร้างของ อพส.และแกนนำที่เข้าร่วมเป็นมือใหม่ หละหลวม ขาดประสบการณ์ในการชุมนุม การจัดการบนเวทีต่างจากกลุ่มพันธมิตร ไม่มีแกนนำที่ดึงดูด ปลุกเร้า และเมื่อเจอสถานการณ์คับขัน เช่น ฝนตกหนัก ผู้ชุมนุมกระจายหลายกลุ่ม เมื่อไร้ระบบจัดการ จึงกระเจิง

ขณะที่ เสธ.อ้าย เองไม่ใช่นักปราศรัย และไม่เอาจริง และอาจมองได้ว่า ไม่มีกลุ่มทุนมาสนับสนุนตามที่รัฐบาลกล่าวหาว่ามีการลงขันม็อบ 6,000 ล้านบาท จากกลุ่มบ่อน และกลุ่มทุนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล หากมีทุนมหาศาลมาร่วมจริง อย่างน้อยการชุมนุมต้องเข้มข้นกว่านี้

ประการที่ห้า การรับมือของรัฐบาลค่อนข้างรัดกุม ใช้กำลังตำรวจ 1.6 หมื่นนาย วางกำลังในพื้นที่ราชการแน่นหนา โดยเฉพาะการรักษาทำเนียบรัฐบาลพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ก่อนม็อบจะเดินทางมา ยังใช้ไม้แข็งแก๊สน้ำตาตั้งแต่ช่วงเช้า ขู่ให้เกิดภาพน่ากลัวเพื่อไม่ให้คนเข้าร่วมในช่วงบ่าย

ประการที่หก สถานการณ์ขับไล่ยังไม่สุกงอม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังมีเสียงสนับสนุนจากประชาชน เพราะเพิ่งทำงานมาเพียงปีเดียว ขณะที่กลุ่มคนกลางๆ ยังให้โอกาสรัฐบาลอยู่ อีกทั้งข้อเรียกร้องของ อพส.คือ ขับไล่รัฐบาลทั้งคณะ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ อพส.ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ

เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ เสธ.อ้าย ต้องม้วนเดียวจอด แต่หาใช่ว่า ม็อบกลุ่มต้านทักษิณจะเป็นฝ่ายแพ้ราบคาบ หรือปิดฉากม็อบโดยบริบูรณ์ กล่าวได้ว่า ครั้งนี้ที่ล้มเหลวเพราะยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีเป้าหมายของ เสธ.อ้าย และ อพส.ทำให้ไม่มีแนวร่วม

กระนั้น กลุ่มต้านทักษิณยังคงเหนียวแน่น เพราะไปแค่ “หัว” คือ เสธ.อ้าย แต่ขบวนการยังอยู่ การจะสร้างพลังจากนี้อยู่ที่การปรับยุทธวิธี ประเด็นขับเคลื่อน ข้อเรียกร้องที่ต้องแหลมคมเป็นไปได้จริง ขณะเดียวกันหากฝ่ายรัฐบาลจุดเชื้อ ลุแก่อำนาจ ช่วยพวกพ้อง ปิดกั้นการตรวจสอบ เช่น ความพยายามผลักดันร่าง พรบ.ปรองดองนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพวก ที่ผ่านมา ม็อบก็จะจุดติดโดยธรรมชาติไม่ต้องระดมประชาชนเรือนล้านอย่างที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี ผลพวงจากการปฏิบัติของตำรวจต่อผู้ชุมนุมครั้งนี้ก็ทิ้งเชื้อไว้พอควร ทั้งการใช้แก๊สน้ำตาที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนหลักสากลจนบาดเจ็บหลายสิบราย การที่ตำรวจทำร้ายสื่อมวลชนและถูกควบคุมตัว โดยโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ้างว่า เพราะสื่อถ่ายภาพขณะเกิดเหตุรุนแรงถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน

บทเรียนที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า ทั้งผู้จัดชุมนุม ซึ่งมีสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาล ถ้าขับเคลื่อนเรื่องใดในอนาคตโดยขาดความชอบธรรม ก็ยากที่จะได้เสียงสนับสนุน สุดท้ายจะหมดกำลังในที่สุด

 

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี