เพิ่มสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงแสนล้านเพื่อใคร?
นอกจากเรื่องประกันราคาข้าวแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลนี้เตรียมจะใช้เงินอย่างมหาศาลโดยแทบจะไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ และยังจะทำให้น้ำมันแพงขึ้นกระทบปากท้องของประชาชนอีก นั่นคือการเพิ่มการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ จากเดิม 36 วัน เป็น 90 วัน และในระยะยาวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 145 วันให้เท่ากับการสำรองเฉลี่ยของประเทศสมาชิกองค์การพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA (International Energy Agency)
นอกจากเรื่องประกันราคาข้าวแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลนี้เตรียมจะใช้เงินอย่างมหาศาลโดยแทบจะไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ และยังจะทำให้น้ำมันแพงขึ้นกระทบปากท้องของประชาชนอีก นั่นคือการเพิ่มการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ จากเดิม 36 วัน เป็น 90 วัน และในระยะยาวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 145 วันให้เท่ากับการสำรองเฉลี่ยของประเทศสมาชิกองค์การพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA (International Energy Agency)
แค่เพิ่มจาก 36 วัน เป็น 90 วัน คือ 10 => 25% มีความจำเป็นจริงหรือ?
เป็นประโยชน์กับประชาชน หรือกับใคร?
ดิฉันได้ตั้งกระทู้ถามเรื่องนี้ในสภา เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ
เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน ดังจะเข้าใจได้จากข้อมูลดังนี้
1.ระดับปริมาณสำรองเก่าน่าจะยังพอเพียงอยู่ สมมติเราใช้น้ำมันวันละ 100 ล้านลิตร ปีหนึ่งก็ 3.65 หมื่นล้านลิตร
การสำรองทางยุทธศาสตร์ตามกฎหมายในปัจจุบันอยู่ที่ 10% ของการใช้ ปริมาณสำรองก็จะอยู่ที่ 3,650 ล้านลิตร สมมติว่ามีวิกฤตขึ้นมาแล้วน้ำมันขาด 10% ก็จะขาดวันละ 10 ล้านลิตร สมมติเราไม่ปรับตัวอะไรเลย แล้วเราเอาส่วนที่ขาดนี้มาจากปริมาณสำรองที่มีอยู่วันละ 10 ล้านลิตร สมมติว่าการขาดแคลนนั้นยาวมาก และสมมติประเทศเราไม่ปรับตัวอะไรเลย เราจะสามารถใช้น้ำมันในระดับเดิมได้นานถึง 1 ปีเต็มๆ
ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ตัวเลขสมมติการขาด 10% นี้สูงกว่าที่เคยเป็นมาในวิกฤตใหญ่ๆ ในอดีตทั้งหมด ปี 2516 ที่มีสงครามในตะวันออกกลางแล้วสหรัฐไปอิสราเอล กลุ่มโอเปกซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหรับจึงตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรน้ำมัน (Oil Embargo) ทำให้การผลิตน้ำมันลดลง 7.5% นับเป็น Oil Shock ครั้งแรกปี 2523 อิรักโจมตีอิหร่าน การผลิตลดลง 6% ส่วนปี 2533 ที่อิรักบุกคูเวตแล้วเผาทำลายหลุมเจาะน้ำมัน การผลิตลดลง 7%
2.ระยะเวลาของการขาดแคลน นอกจากระดับความขาดแคลนแล้ว ในทางปฏิบัติการขาดแคลนที่จะยาวนานขนาด 1 ปีที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้นก็เกิดขึ้นได้ยาก ในปี 2533 ภายใน 3 เดือนของการเกิดวิกฤต ประเทศผู้ผลิตอื่นๆ ก็ผลิตน้ำมันมาทดแทนที่ขาดไป เราไม่ควรประมาทดูแค่อดีต เพราะอย่างช่องแคบฮอร์มุซที่เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันยุทธศาสตร์ที่สำคัญจากอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันมีน้ำมันขนส่งผ่านประมาณ 20% ของการใช้ทั้งโลก และเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง อิหร่านก็ได้เคยข่มขู่ว่าจะปิดช่องแคบนี้ หากโลกตะวันตกจะยกระดับการบอยคอตน้ำมันอิหร่าน ซึ่งทางสหรัฐก็ออกมาตอบทันทีว่าจะไม่ยอมอย่างแน่นอน แล้วก็มีการซ้อมรบเตรียมรับสถานการณ์ให้เห็น
การปิดช่องแคบฮอร์มุซยังไม่เกิดขึ้น แต่สมมติว่ามันเกิดขึ้น ก็คงจะเกิดได้ไม่นาน สภาความมั่นคงของสหประชาชาติจะยอมหรือ สหรัฐเองก็มีฐานทัพใหญ่อยู่แถวนั้น และที่สำคัญการขาดแคลนน้ำมันไม่ใช่แต่เพียงประเทศผู้ใช้เท่านั้นที่เดือดร้อน ผู้ผลิตเองก็จะเดือดร้อนมากเพราะจะต้องสูญเสียรายได้หลัก ก็คงจะมีการกดดันในหมู่มิตรของผู้ปิดช่องแคบด้วยอีกทางหนึ่งที่จะให้วิกฤตแบบนี้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด
3.โครงสร้างการผลิตน้ำมันในโลกที่กระจายตัวมากขึ้น ตั้งแต่ได้มีการก่อตั้งองค์การ EIA ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อแก้เกมของวิกฤตการณ์น้ำมันปี 2516 สมัยนั้นกลุ่ม OPEC มีอำนาจผูกขาดการผลิตสูงมาก การซื้อขายส่วนใหญ่เป็นรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) การแก้ปัญหาก็ต้องไปเจรจาจีทูจี แต่หลังจากนั้น ได้มีการผลิตจากส่วนอื่นๆ ของโลกมากขึ้นในปี 2522 OPEC สัดส่วน 50% ในปี 2522 29%2528 26%Now คือ มีแหล่งน้ำมันที่หลากหลายมากขึ้นในโลก ทะเลเหนือ อ่าวเม็กซิโก อเมริกาใต้ Mexico Nigeria and Venezuela Expanded production ; USSR became the first world producer, and North Sea and Alaskan oil flooded onto the market...
รายงานล่าสุดของ IEA ก็บอกว่าอีก 10 ปี สหรัฐจะเป็นผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญที่สุดในโลก
4.ตลาดน้ำมันได้มีพัฒนาการไปอย่างมาก ยังมีปัจจัยของตลาดซื้อขายน้ำมัน ที่เรียกกันว่า ตลาดจร ที่ได้พัฒนาทั้งรูปแบบและขนาดใหญ่ขึ้นมากๆ ทำให้การซื้อขายระยะสั้นคล่องตัวมาก และตราบที่ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาดการขาดแคลนก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
แม้ในวิกฤตปี 2533 ตอนนั้นประเทศไทยเริ่มมีการปรับระบบราคาน้ำมันให้สะท้อนต้นทุนมากขึ้น ซึ่งเมื่อน้ำมันราคาแพงมากก็ทำให้เกิดการประหยัด หรือความต้องการก็ลดลงด้วย จนนำไปสู่การเลิกควบคุมราคาน้ำมัน การปรับตัวของไทยทำให้เราไม่ประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทั้งๆ ที่การผลิตในโลกลดลง 7%
5.สัดส่วนการพึ่งพาน้ำมันของโลกและของประเทศไทยได้ลดลงไปอย่างมาก สัดส่วนการนำเข้าน้ำมันลดจาก 94% ในวิกฤตที่ 1 ลงมาเหลือ 38% ในปัจจุบันแล้ว อีกทั้งสัดส่วนการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงก็ได้ลดลงมาก จาก 93.5% ในช่วงปี 2516 เหลือเพียง 37% เพราะก๊าซธรรมชาติได้พัฒนาขึ้นจาก 0 มาเป็น 43% ในปัจจุบัน เราผลิตก๊าซได้เองจำนวนมาก ในวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 1 ไฟฟ้าเกือบทั้งหมดผลิตด้วยน้ำมัน แต่ตอนนี้การผลิตไฟฟ้าใช้ก๊าซ 70% และแทบจะไม่ใช้น้ำมันเลย นอกจากนี้แหล่งก๊าซในโลกก็กระจายตัวมากทำให้การพึ่งพาน้ำมันของทั้งโลกน้อยลง ก๊าซและถ่านหินเข้ามาแทนน้ำมันในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นรูปแบบพลังงานที่สำคัญมากทั้งในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน หากมีวิกฤตขาดน้ำมันอีกก็คงไม่ต้องมีการดับไฟเหมือนวิกฤตแรก ผลกระทบก็น้อยลงไปอีก
ฉะนั้น หากเรายังใช้กลไกตลาด สภาพการกระจายแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซที่มาทดแทนน้ำมัน และการมีตลาดจรที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์ จะทำให้เรามีโอกาสขาดแคลนน้ำมันน้อยมาก รวมทั้งยังมีเครื่องประกันความเสี่ยงราคา (Hedging) ที่จะช่วยลดผลกระทบจากการที่ราคาสูงกว่าปกติ และถึงแม้จะขาดระดับสำรองที่มีอยู่แล้ว 10% หรือ 36 วัน ก็น่าจะเพียงพอดังที่ได้ยกตัวอย่างแล้ว และถ้าขาดจะมากกว่า 10% ก็ยังมีข้อตกลงในกลุ่ม ASEAN ที่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอย่างมาเลเซียและบรูไน จะส่งมาให้เราแทนที่จะส่งออกไปข้างนอก แม้ข้อตกลงนี้ยังลงนามไม่ครบทุกประเทศก็ตาม
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการสำรองน้ำมันแต่อย่างใด เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองแล้วยังจะกระทบต่อประชาชนทั่วไปที่ต้องใช้น้ำมันแพงขึ้นอีกด้วย การเพิ่มสำรองน้ำมันที่อยู่ในระดับพอเพียงอยู่แล้ว ให้สูงมากขึ้นไปอีกถึง 2 เท่าครึ่ง เพียงเอาอย่างประเทศร่ำรวยในกลุ่ม IEA เป็นต้นทุนที่สูงมากๆ อย่างน้อยเป็นแสนล้านบาท ถ้าจะทำนโยบายนี้ให้ได้ก็คงไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นแน่


