พระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี อธิบดีหญิงคนแรกของไทย (1)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าคุณจอมมารดาสำลี ธิดาในสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค) ทรงเป็นพี่น้องร่วมเจ้าคุณจอมมารดาเดียวกันกับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ประสูติเมื่อวันเสาร์ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด จุลศักราช 1226 ซึ่งตรงกับวันที่ 13 พ.ค. 2407 เมื่อพระองค์มีชันษาได้ 4 ปี สมเด็จพระราชบิดาก็เสด็จสวรรคตในปี 2411 ภายหลังเมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว พระมารดาก็เจ็บป่วยพระองค์จึงได้ทรงติดตามพระมารดาออกไปพักรักษาตัวที่บ้านเดิมของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติที่ฝั่งธนบุรี เมื่อพระมารดาหายป่วยแล้วจึงเสด็จกลับเข้าไปประทับในพระบรมมหาราชวัง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าคุณจอมมารดาสำลี ธิดาในสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค) ทรงเป็นพี่น้องร่วมเจ้าคุณจอมมารดาเดียวกันกับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ประสูติเมื่อวันเสาร์ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด จุลศักราช 1226 ซึ่งตรงกับวันที่ 13 พ.ค. 2407 เมื่อพระองค์มีชันษาได้ 4 ปี สมเด็จพระราชบิดาก็เสด็จสวรรคตในปี 2411 ภายหลังเมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว พระมารดาก็เจ็บป่วยพระองค์จึงได้ทรงติดตามพระมารดาออกไปพักรักษาตัวที่บ้านเดิมของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติที่ฝั่งธนบุรี เมื่อพระมารดาหายป่วยแล้วจึงเสด็จกลับเข้าไปประทับในพระบรมมหาราชวัง
ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง กับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แล้วทรงศึกษากับครูสอนพิเศษจนเรียนจบหนังสือ 5 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน และพิศาลการันต์ อันถือเป็นการเพียงพอสำหรับเจ้านายฝ่ายในช่วงเวลานั้น จากนั้นก็ได้ทรงศึกษาเพิ่มเติมด้วยพระองค์เองในทางด้านวิชาการบ้านการเรือน สำหรับการศึกษาของเจ้านายในสมัยนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เล่าไว้ว่า “ส่วนเจ้านายพระองค์หญิงนั้นตั้งแต่โสกันต์แล้ว ก็ทรงศึกษาวิชาความรู้ชั้นสูงขึ้นไปเป็นลำดับ นับแต่การศึกษาศีลธรรมและวิชาการเรือน และเริ่มเรียนวิชาเฉพาะประเภทอันชอบอัธยาศัยสืบเนื่องไป จนอำนวยการต่างๆ ในหน้าที่ของขัตติยนารีได้โดยลำพังพระองค์...เจ้านายพระองค์หญิงก็มีโอกาสได้ศึกษาทางฝ่ายใน ได้ทั้งความรู้ในราชประเพณีและระเบียบวินัยในสมาคมของกุลนารี จนสามารถรับหน้าที่ในราชการฝ่ายในและฝึกสอนผู้อื่นสืบกันมา ที่ในพระราชวังจึงเป็นแหล่งของกุลสตรี เปรียบเหมือนวิทยาลัยอันเป็นที่ผู้มีบรรดาศักดิ์ชอบส่งธิดาให้เข้าไปศึกษาในสำนักเจ้านาย และผู้อื่นที่สามารถฝึกสอนคนทั้งหลายจึงชื่นชมผู้หญิงชาววังมาแต่โบราณ เพราะการที่ได้ศึกษานั้นเอง”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี ทรงเป็นขัตติยราชนารีที่มากด้วยความสามารถในหลายด้าน มีพระนิสัยร่าเริง สนุกสนานเฮฮา มีพระอัธยาศัยที่งดงาม ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตลอดจนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในเรื่องใดๆ ก็ตามก็จะปฏิบัติได้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดีในทุกเรื่อง ครั้งถึงปี 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณขึ้นในพระบรมมหาราชวัง พระองค์ก็ทรงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอุปนายกหอพระสมุดตั้งแต่แรกเริ่ม นอกจากจะทรงอุทิศเวลาให้กับงานอย่างจริงจังแล้ว พระองค์ยังต้องนำเงินส่วนพระองค์มาใช้สอยในการเลี้ยงรับรองทั้งในเวลาปกติและโอกาสพิเศษต่างๆ ด้วยเพราะงานหอพระสมุดเป็นงานการกุศล แม้จะทรงประสบปัญหาในทางการเงินบ้างก็มิได้ทรงปริปากให้ผู้ใดเดือดร้อน จนภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้วางระเบียบใหม่ โดยให้เบิกเงินหลวงแทนเพื่อคลายความเดือดร้อนขององค์อุปนายกฯ หอพระสมุดนี้เป็นแนวความคิดของบรรดาพระราชโอรสพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบรมราชชนก ต่อมาในปี 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นหอพระสมุดสำหรับพระนคร แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “หอสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” เป็นที่มาของหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน
ในเดือน เม.ย. 2436 ได้มีการก่อตั้งสภาอุณาโลมแดงขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสยาม โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งสภาชนนี พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (พระยศขณะนั้น) ทรงเป็นสภานายิกา ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เป็นเลขานุการิณี และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาฯ ทรงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการิณี วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสภาอุณาโลมแดงหรือสภากาชาดไทยในปัจจุบันนั้น ต้องการที่จะช่วยบรรเทาทุกข์แก่บรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับฝรั่งเศส อันเนื่องมาจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่ชายแดนไทยด้านแม่น้ำโขง ซึ่งคนไทยรู้จักกันดีในชื่อ “วิกฤตการณ์ ร.ศ.112”
ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นที่ประจักษ์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในปี 2439 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาฯ และพระองค์เจ้าหญิงพวงสร้อยสอางค์ ให้ทรงช่วยดูแลราชการฝ่ายในทั้งหมดภายในพระราชวังหลวง เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณท้าววรจันทร์ด้วย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาฯ ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างสุจริตยุติธรรม มีพระวิริยอุตสาหะ สามารถตัดสินพระทัยในกิจการงานต่างๆ ด้วยความว่องไว ฉับพลัน ทันเหตุการณ์ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทรงสามารถปฏิบัติภารกิจตามพระราชบัญชาทุกๆ เรื่องให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ กลับจากยุโรป จึงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มอำนาจการบัญชาการฝ่ายในให้สูงขึ้นเป็นลำดับ แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมโขลน ทรงทำหน้าที่กำกับดูแลความเรียบร้อยทั่วไปภายในเขตพระราชฐานชั้นใน และรวมไปถึงงานระเบียบราชประเพณีต่างๆ ภายในวังหลวง ตำแหน่งดังกล่าวมานี้ต่อมาภายหลังโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็น “อธิบดีฝ่ายใน” พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาฯ จึงทรงเป็นอธิบดีหญิงคนแรกของเมืองไทย ซึ่งชาววังทั่วไปในขณะนั้นต่างออกพระนามว่า “เสด็จอธิบดี” ด้วยความเคารพยำเกรง แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงยกย่องและตรัสเรียกเสด็จอธิบดีในบางครั้งเช่นกัน
เมื่อคราวที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีเสด็จกลับไปทรงเยี่ยมบ้านเกิดที่นครเชียงใหม่ในปี 2451 นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาถึง “เสด็จอธิบดี” ความว่า “นภาพร...เรือนนางดารานั้นเจ้าของไม่อยู่ ขออายัติไว้ให้จัดการรักษา อย่าให้กลายเป็นที่สำหรับสกปรก อนึ่งต้นไม้ย่อมเป็นที่หวงแหนและแย่งทึ้งกัน ขอให้รักษาอย่าให้ผู้ใดขุดตัดเด็ด แต่จะได้ทำงานแก้ไขซ่อมแซม จะต้องใช้คนเข้ามาทำ นอกนั้นอย่าให้ใครเข้าไปล่วงเกินในที่นั้น”


