posttoday

หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท

28 ตุลาคม 2555

ชีวิต หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท พระมหาเถระรูปสำคัญรูปหนึ่งในแถบอีสานใต้นั้นเป็นชีวิตที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะบรรลุถึงความดีงามที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง

ชีวิต หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท พระมหาเถระรูปสำคัญรูปหนึ่งในแถบอีสานใต้นั้นเป็นชีวิตที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะบรรลุถึงความดีงามที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง

หลวงปู่เครื่องเป็นพระมหาเถระที่ครบเครื่อง กล่าวคือเป็นทั้งพระนักพัฒนา ขณะเดียวกันก็เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมุ่งปฏิบัติ และมีวิทยาคมเป็นที่พึ่งพิงแก่ผู้ประสบทุกข์ร้อนทั้งปวงนั้น น่าสนใจว่าท่านเพียรพยายามด้วยประการต่างๆ เพื่อที่จะดำเนินไปสู่เส้นทางของ “ผู้ประพฤติงาม” อันเป็นความหมายของคำว่า “สุภัทโท” อันเป็นความหมายฉายาของท่านเมื่อยามบวชตลอดเวลา

หลวงปู่เครื่อง มีนามเดิมว่า เครื่อง ประถมบุตร เกิดเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2453 ที่บ้านค้อกำแพง หรือบ้านหนองแปน หมู่ 3 ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ท่านเป็นบุตร 1 ใน 14 คน ของนายสอนและนางยม ประถมบุตร

ในวัยเด็กได้เล่าเรียนหนังสือไทยประถม ก.กา อยู่กับ “ลุงเกษ ประถมบุตร” เป็นครูสอนอยู่กับบ้าน กระทั่งอายุ 15 ปี เมื่อ พ.ศ. 2467 จึงได้เข้าเรียนที่วัดสระกำแพงใหญ่ แต่การได้เข้าเรียนครั้งนั้นก็เป็นการผลัดกันเรียนคนละ 7 วันในหมู่พี่น้อง 3 คน เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีคนช่วยที่บ้านทำไร่ทำนา

สุดท้ายต้องแอบหนีมาโรงเรียนคนเดียว แต่ก็เรียนได้แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรียนได้ครึ่งปีก็ต้องออกจากโรงเรียน เพราะทางการกำหนดให้เปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ ให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีต้องเสียค่าเล่าเรียนประถมศึกษาคนละ 4 บาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากในสมัยนั้น ซึ่งท่านไม่มีเงินเรียนจึงต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่นั้นมา

พออายุได้ 18 ปี ได้ขอพ่อแม่บวชเณรแต่ไม่ได้รับอนุญาต ต้องรอจนอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์จึงขอบวชพระ หนนี้บิดาไม่ขัด ข้างมารดานั้นป่วยเป็นโรคปอดบวมอาการหนักอยู่

หลังท่านอุปสมบทที่วัดสำโรงน้อย หมู่ 6 ต.หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ โดยมีพระครูเทวราชกวีวรญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ใบฎีกาชม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์พรหมมา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้เพียง 2 สัปดาห์ โยมมารดาก็เสียชีวิต

พอบวชแล้วท่านก็เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตปุถุชน จึงตั้งใจอุทิศชีวิตให้พระพุทธศาสนา

หนทางเส้นนั้นเริ่มจากการศึกษามูลกัจจายน์และพระปริยัติธรรม

ท่านตัดสินใจเดินทางไปวัดทุ่งไชยเพื่อเรียนคัมภีร์มูลกัจจายน์ แต่ปรากฏว่าเขาเลิกสอนกันแล้ว เพราะนักเรียนน้อย ไม่มีใครสนใจเรียน ต่อมาไปขอเรียนที่วัดบ้านยางใหญ่ ต.เมืองแคน อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ปรากฏว่าการเรียนเป็นที่น่าพอใจ ต่อมาจึงไปเรียนบาลีไวยากรณ์หวังจะได้เป็นพระเปรียญ

พ.ศ. 2479 สอบได้นักธรรมชั้นตรี พ.ศ. 2480 สอบได้นักธรรมชั้นโท

พ.ศ. 2481 ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพงพรต ต.หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ อยู่ถึง 11 ปี ในระหว่างนั้น พ.ศ. 2483 สอบได้นักธรรมชั้นเอก ขณะเดียวกันก็ได้พัฒนาวัดให้เจริญก้าวหน้า จนวัดเจริญรุ่งเรืองเป็นวัดชั้นแนวหน้าของอำเภอ

ตามประวัติที่เผยแผ่กันนั้น ระบุว่า “...เป็นเจ้าอาวาสวัดพงพรต ต่อมาไม่นานก็ได้ดำริว่าคันถธุระไม่เป็นทางพ้นทุกข์ มีแต่ธรรมปฏิบัติเท่านั้น จึงออกเดินทางไปศึกษาด้านสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ทราบว่าท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ จำพรรษาอยู่ จ.อุบลราชธานี จึงออกเดินทางไปพบท่าน ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาพื้นฐานงานวิปัสสนากัมมัฏฐานกับท่านอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาจึงได้กลับมา อ.อุทุมพรพิสัย อีกครั้ง และพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดสระกำแพงใหญ่...”

ทว่าถ้าส่องไปในรายละเอียดจะพบเรื่องราวมากกว่านั้น กล่าวคือ

ในปี พ.ศ. 2487 พระมหาบุญมา (บุญมา แสนทวีสุข) ซึ่งเป็นสหธรรมิก เรียนหนังสือด้วยกันที่สำนักเรียนวัดสุปัฏน์และวัดกลาง จ.อุบลราชธานี ได้เดินทางมาเยี่ยมแล้วถามว่าจะเป็นพระตลอดไปหรือคิดจะสึก แล้วได้รับคำยืนยันว่าจะไม่สึก พระมหาบุญมาจึงเล่าเรื่องพระอาจารย์มั่นให้ฟัง

ปลายปี พ.ศ. 2490 ท่านทราบข่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่นมาพำนักอยู่ที่วัดป่าแสนสำราญ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ โดยได้รับการชี้แนะอยู่เพียงคืนเดียว เพราะหลังจากนั้นหลวงปู่มั่นได้เดินทางไปยัง จ.สกลนคร แต่ท่านมิได้ตามไปด้วย

หลวงปู่มั่นได้บอกกับท่านว่า “การปฏิบัติธรรมต้องดูที่จิตให้มาก ต้องนอนน้อย กินน้อย”

แม้จะฝักใฝ่การปฏิบัติ แต่หลังจากนั้นหลวงปู่เครื่องก็ยังติดพันกับการพัฒนาวัดอยู่เรื่อยมา ข้างพระมหาบุญมาก็ได้มากระตุ้นเตือนเพื่อให้เพื่อนรู้สึกตัวว่า ท่านไม่เอาจริงเอาจังตามปณิธาน ท่านจึงตั้งใจออกแสวงหาครูอาจารย์โดยเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

นอกจากนั้น ในปี พ.ศ. 2494 หลวงปู่เครื่องยังเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาศึกษาวิชาธรรมกายจากพระเทพมงคลมุนี (สด จันทสโร) เรียนอยู่แค่ 3 วันท่านก็อำลาออกธุดงค์ตามป่าตามเขา ขณะที่หลวงพ่อสดประกาศว่า หลวงปู่เครื่องบรรลุวิชาธรรมกายแล้ว แต่ตัวท่านเองกลับบันทึกไว้ว่า “ที่จริงข้าพเจ้าเองปฏิบัติก็ไม่ได้อะไร เป็นเพียงนิสัยที่เลิกสูบบุหรี่ได้เท่านั้น”

หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท

 

ออกจากวัดหลวงพ่อสดท่านธุดงค์ขึ้นไปทาง จ.ลพบุรี ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่คำมี พุทฺธสาโร ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี

หลวงปู่คำมีสอนปฏิบัติกัมมัฏฐานด้วยการเจริญอานาปานสติ โดยกำหนดคำภาวนาว่า พุทโธ ระหว่างปี พ.ศ. 2493-2499 นั้น ท่านได้เดินทางไปมาระหว่างถ้ำคูหาสวรรค์กับวัดสระกำแพงใหญ่หลายครั้ง บางคราวอยู่พำนักที่นั่นนานถึง 2 ปี เช่น พ.ศ. 24932495 การปฏิบัติธรรมในช่วง 2 ปีแรกกับหลวงปู่คำมีที่ถ้ำคูหาสวรรค์

เหตุการณ์ในช่วงธุดงค์นั้นเป็นอย่างไร ปรากฏอยู่ในเรื่องที่ท่านเล่าไว้ในโอกาสที่สอนกรรมฐานว่า

“...หลวงพ่อก็ย้ายสถานที่เข้าไปบำเพ็ญวิปัสสนาธุระอยู่ที่ถ้ำใหญ่ เป็นสถานที่รื่นรมย์สงบเงียบ วิเวกวังเวง ปราศจากเครื่องกังวลทุกอย่าง เจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรทางด้านจิตใจให้มั่นคง ก็เกิดอุคหนิมิตปรากฏเป็นรูปเสือโคร่งใหญ่เข้ามาแสดงอภินิหาร มีกิริยาทำท่าทางจะกระโดดเข้ามาจะกัดหลวงพ่อโดยเฉพาะหน้า แต่ก็มีสติตั้งมั่นคงอยู่มิได้พลั้งเผลอ

เมื่อระลึกขึ้นได้ จึงพิจารณาดูนิมิตที่ปรากฏนั้นจะได้แก่เหตุการณ์อะไรหนอ เมื่อตริตรองตามความเป็นจริงแล้ว ด้วยอุบายปัญญาว่า อ้อ...เสือตัวนี้ คงจะหมายเอาอารมณ์ที่เกิดจากจิต คือกิเลส ตัณหา อันโลภ โกรธ หลง มันหาโอกาสที่จะเข้ามาสิงใจ และครอบงำจิตของหลวงพ่อไว้ให้อยู่ในอำนาจของมัน เพราะสติปัญญาของหลวงพ่อตอนนั้นอาจจะยังไม่แก่กล้า นิมิตมันจึงเข้ามาหลอกลวง เป็นมายาให้ท่านลุ่มหลงไปตามสัญญา...

...ทำสมาธิอยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี อันกิเลสครอบงำจิตมีฤทธิ์เหมือนเสือร้าย มองลูกโลกนี้ไม่มีอะไรแน่เห็นแต่เสือเจือด้วยกามคุณหนุนไปให้เราหลง...ต้องปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงหันหน้ามาพึ่งพระธรรมหาความสุขสนุกกัน นั้นคือภาวนาให้ชนะตัณหาพญามาร ข้ามสงสารได้แน่ไม่แปรผัน นั้นคือทางดับทุกข์

ในวาระสมัยหนึ่ง เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2500 ได้ถือโอกาสเดินธุดงควัตรไปกับหลวงตาสอน พักบำเพ็ญวิชชาวิปัสสนาภาวนาอยู่ที่ถ้ำยอ จ.สระบุรี

ในคืนวันหนึ่ง ได้ตั้งสติสัมปชัญญะนั่งสมาธิ กำหนดพิจารณาลมหายใจเข้า หายใจออก นั่งอยู่ภายในนึกขึ้นได้ว่า ถ้าหากเราหายใจเข้ามันไม่ออกมา เราก็ต้องตายสิ้นชีวิตไป ความจริงด้วยอำนาจอภินิหาร อิทธิพลของจิตเกิดนิมิตปรากฏขึ้นที่ใจ เหมือนหนึ่งว่ามีรูปพระฤาษีดาบสองค์หนึ่ง มีมือถือรากยา พร้อมด้วยเศวตฉัตรเงินเศวตฉัตรทอง นำเข้ามาถวาย

ข้าพเจ้าก็ได้รับเอาไว้แล้ว เมื่อพิจารณาดูเหตุผลให้แจ้งชัดแล้วอันฤาษีองค์นี้คงจะหมายเอาผู้ที่จะมาเป็นครูบาอาจารย์ ชี้ทางปฏิบัติไปหาสัมมาปฏิบัติให้ถูกต้องตามมรรคมีองค์ 8 ประการ คือ หนทางสายกลาง เศวตฉัตรทั้งสองอย่างนั้นคงจะได้แก่ รูปธรรม นามธรรม รากยานั้นคงหมายเอาธรรมโอสถ จิตที่เป็นสมาธิมั่นคงแน่วแน่ต่อพระรัตนตรัย ได้เข้าถึงธรรมะอันเป็นที่พึ่งเป็นแก่นสารยิ่งขึ้น ดังที่ปรากฏแก่ใจเราอยู่นี้

ทำสมาธิอยู่ที่ถ้ำยอ จ.สระบุรี อันเศวตฉัตรเป็นเครื่องรัดตรึงใจ ใครแลเห็นคงได้เป็นพระอริยเจ้า คือพระอรหันต์นั้น ผู้หลุดพ้นด้วยญาณปัญญา นั้นคือยาอันวิเศษ ไตรเทพเข้าใกล้พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นบุญฤทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระฤาษี มียาอันเป็นโอสถน้อมนำมาถวายพระผู้บำเพ็ญพรต กำหนดหมายว่า จะฆ่ากิเลสให้ตายคลายตัณหาให้หลุดด้วย พุทโธ เอย

ถ้ำนี้มืดมากไม่มีอากาศเลย ทำสมาธิอยู่ถ้ำอาจารย์สิริ ถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี เมื่อเพิ่งดูนิมิตที่ปรากฏกำหนดหมายเกิดขึ้นที่ใจ ได้เห็นพระหามคนป่วยใส่เปลมาวางไว้ที่เฉพาะหน้า แม้นว่าโลกนี้คงมีแต่ทุกขเวทนา สัญญาอารมณ์หลง คงวุ่นวายเหมือนนกที่ถูกขัง เพราะไม่มีอะไรที่จริงจังยั่งยืน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสภาพอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าหมายมั่นย่อมผันแปร ฉะนั้นให้หันหน้ามาพึ่งพระธรรมจำภาวนาให้หาสุขทางใจให้ภิรมย์ เอย

อิโต ปรํ เบื้องหน้าแต่นี้ไป ข้าพเจ้าก็ได้เคลื่อนที่เข้าสู่ภูมิยังถ้ำคูหาสวรรค์เช่นเคย เพื่อวัตถุประสงค์จะทำสมาธิจิตอีก อยู่ภายในถ้ำที่เขาเจาะทะลุเข้าไปใหม่ๆ ลึกถึง 10 วา แต่ไม่มีอากาศส่องแสงสว่าง มืดแปดด้าน ต้องจุดไฟเทียนเข้าไป แต่ก็ต้องมุ่งด้วยความตั้งใจนั่งทำสมาธิเจริญภาวนา วิปัสสนากำหนดอานาปานสติพิจารณาลมหายใจเข้าหายใจออก นึกถึงสภาพสังขาร ที่มีอาการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นนิจ จนกว่าจิตจะชำนิชำนาญ เกิดชวนะจิตขึ้นปรากฏเห็นพระ 2 องค์ หามคนป่วยเป็นไข้ใส่เปล แล้วเอามาวางไว้ที่เฉพาะหน้า

ข้าพเจ้าก็ใช้สติปัญญาพิจารณา โน้มน้อมจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ให้เห็นแจ้งชัดในอารมณ์ที่เกิดจากจิตอยู่ภายในรู้แจ้งด้วยสติปัญญาว่าพระ 2 องค์นี้ได้แก่อะไร ความจริงก็ได้แก่อารมณ์ที่เกิดจากจิต คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา โสมนัส โทมนัส สิ่งที่ชอบใจและสิ่งที่ไม่ชอบใจ ซึ่งเป็นเรื่องมายาหลอกลวงให้เราลุ่มหลงทำให้ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเหตุมันเป็นสภาพตามเป็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป เหมือนฟองน้ำ ไม่นานนักย่อมแตกสลายไปชีวิตของเราก็ย่อม‌ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน ดังปรากฏรูปพระ 2 ‌องค์นั้น

จระเข้ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ‌ปืน คือ ความโง่ของเรา หรือจิตของเรายังหลง‌อยู่ พระมีมือถือปืนยืนอยู่ตรงบนต้นไม้ จระเข้‌ระเหระหนบันดลจิตให้ติดอยู่เป็นศัตรูคือกิเลส ‌ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน เพื่อให้เกิด‌ญาณความรู้ดูให้แม่นมั่นนั้นหนาคือจระเข้ ‌เนตรนองหมองฤดีหนีโลกีย์ร้อนรุ่ม ขุมโลกันต์ ‌มองหน้ามาดูมือปืนยืนขึ้นนก ว่าจะยิงทิ้งแล้ว‌หักหนักเลยวาง มุ่งมั่นขยันภาวนาหาทางสงบ‌สันติภาพตราบนิพพาน เอย

ในคืนวันหนึ่ง ตั้งสติหาอุบายเรื่องจะ‌เปลี่ยนอิริยาบถใหม่ ได้กำหนดอารมณ์หายใจ‌เข้าออกพิจารณาเดินจงกรม เพื่อความสงบทาง‌ใจ ในขณะที่ข้าพเจ้าปลงจงกรมแล้วขึ้นไปบน‌กุฏิตั้งใจอธิษฐานนั่งสมาธิเจริญภาวนา ทำ‌ความเพียรแล้วเกิดปฏิภาคนิมิต ปรากฏการณ์‌เล็งเห็นรูปดาวพระอังคารมีรัศมีรุ่งโรจน์เกิด‌เป็นควัน ส่องแสงสว่างขึ้นไปบนอากาศในท้อง‌ฟ้าทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อข้าพเจ้าออกจากสมาธิแล้วได้นั่งคิด‌พิจารณาดูว่า นิมิตอย่างนี้จะได้แก่เหตุอะไร‌หนอ ได้ฟังนักปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้นิมิตเช่นนี้เกิดขึ้นแก่ใคร บุคคลนั้นย่อมได้รับทุกข์เดือดร้อนทางใจ และจิตฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย ไม่มีความสุขกายสบายใจ ‌เพราะเหตุเกิดจากไฟธรรมชาติ คือ ราคะโทสะ โมหะ กิเลสเหล่านี้เข้าครอบงำย่อมมืดมัว เหมือนควันไฟธรรมดามาเผาผลาญให้เกิดโทษ พระผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเมื่อจิต
ยังกังวลอยู่ในอายตนะภายในและภายนอก ย่อมเกิดทุกข์ชุลมุนวุ่นวายต่างๆ นานา‌ประการดังปรากฏอยู่นี้

เพ่งดูดาวพราวกระจ่าง หางฟุ้งขึ้นข้างบน‌จนแลเห็นเช่นนี้ ต้องเร่าร้อนจะเกิดเหตุดีหรือเคราะห์หามยามร้ายประการใดแก่ตัวเราเจ้ากิเลส ราคะ โทสะ โมหะครอบงำจิต นิมิต‌ตัวดำๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นตัวเจ้าทุกข์ ต้องหาทางหลุดพ้นจากบ่วงมาร ให้ห่างเหินจาก‌ดาวอังคารนี้แล”

แม้การเรียนรู้อยู่กับหลวงปู่คำมีทำให้‌มีความก้าวหน้าพอสมควร แต่ท่านก็ยัง‌ปรารถนาจะได้พบกับพระอาจารย์มั่นอีกจึงออกเดินทางโดยมีเป้าหมายดังกล่าว หากแต่แทนที่จะได้พบกับหลวงปู่มั่นท่านกลับจรมาพบกับศิษย์พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโลรูปสำคัญนั่นคือพระครูญาณโสภิตหรือหลวงปู่มี วัดป่าสูงเนินซึ่งท่านระบุว่า การได้รับโอวาทจากหลวงปู่มีนั้นทำให้“รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจ”

การเรียนรู้กับหลวงปู่มีนี่เอง ที่ทำให้ท่านล่วงเข้าสู่วิถีแห่งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบการ‌ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด การสำรวม‌อินทรีย์ในอิริยาบถต่างๆ ไม่ว่า การนอน การ‌นั่ง การยืน การเดิน การดื่มขบฉัน การบิณฑบาต การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ จนติด‌ตัวมาตลอดชีวิต

หลวงปู่มีพาท่านไปภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำซับมืด‌ซึ่งขณะนั้นอากาศหนาวมาก จนหาที่เปรียบมิ‌ได้ หลังภาวนาอยู่ 6 วัน 6 คืน ท่านเป็นไข้‌มาลาเรียขึ้นสมอง จนต้องปีนป่ายออกมาบิณฑบาตขอยาจากพวกที่ไปสร้างถนน‌มิตรภาพ ขณะที่เพื่อนภิกษุสงฆ์เสียชีวิตเพราะไข้มาลาเรียถึง 3 รูป

จากที่นั่นท่านธุดงค์ไปแถบ จ.ชลบุรี ระยอง ‌จันทบุรี ตราด ก่อนวกลงไปที่เกาะสมุย ‌จ.สุราษฎร์ธานี ก่อนกลับวัดเพื่อเป็นหลักให้‌สาธุชนเรื่อยมา

หลวงปู่เครื่องเป็นพระมหาเถระผู้ปฏิบัติดี ‌ปฏิบัติชอบ เป็นที่สักการะของทั้งเหล่าครูบา‌อาจารย์และสาธุชนทั้งหลาย ท่านละสังขารไป‌เมื่อเวลา 02.15 น. วันที่ 28 ก.ค. 2551 ณ ‌ตึกสงฆ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) ‌โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ‌อ.เมือง จ.อุบลราชธานี สิริอายุรวมได้ 98 ปี ‌13 วัน พรรษา 78

เป็นการปิดฉากชีวิตที่มุ่งสู่วิถีแห่งความเป็น ‌“ผู้ประพฤติงาม”อย่างหมดจดm

 

 

ข่าวล่าสุด

เสร็จก่อนกำหนด! มอเตอร์เวย์ M6 วิ่งฟรี บางปะอิน-โคราช รับปีใหม่ 69