posttoday

ยักษ์วัดแจ้งเรียกรัฐบาลบูรณะพระปรางค์วัดอรุณ สัญลักษณ์ของประเทศ

28 ตุลาคม 2555

ในวันศุกร์ที่ 9 พ.ย. 2555 สายตาประชาชนทุกคนต้องจดจ้องที่หน้าทีวี หรือที่มาด้วยตนเองได้ก็จะมาจับจองที่นั่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อติดตามชมขบวนพยุหยาตราทางชลมารค งานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์

ในวันศุกร์ที่ 9 พ.ย. 2555 สายตาประชาชนทุกคนต้องจดจ้องที่หน้าทีวี หรือที่มาด้วยตนเองได้ก็จะมาจับจองที่นั่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อติดตามชมขบวนพยุหยาตราทางชลมารค งานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์

สำหรับขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค นับเป็นครั้งที่ 16 มีเรือในขบวน 52 ลำ ประกอบด้วย เรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือรูปสัตว์จำนวน 8 ลำ เรือพระราชพิธีอื่นๆ จำนวน 40 ลำ โดยใช้กำลังพลจากกองทัพเรือที่เป็นฝีพายเรือพระราชพิธี รวมถึงกำลังพลส่วนอื่นกว่า 2,311 นาย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องยักษ์ที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณ เศียรหักตกลงมาข้างล่าง เป็นข่าวดังที่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจ บางคน (ตามความเชื่อแบบไทย) ถึงกับบอกว่าอาจเป็นลางร้ายก็ได้ ผู้เขียนจึงไปดูให้เห็นกับตา เพราะคำว่ายักษ์วัดแจ้งนั้นยิ่งใหญ่ เมื่อไปเห็นก็ต้องบอกว่าเศียรยักษ์ที่ตกลงมานั้นเป็นเพียงเสนายักษ์ที่แบกพระปรางค์บริวาร มิใช่เสนายักษ์นับร้อยตัวที่แบกพระปรางค์องค์ใหญ่ (องค์กลาง) หรือยักษ์ตัวใหญ่ 2 ตัวที่ยืนเฝ้าหน้าอุโบสถแต่อย่างใด จึงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ แต่ตรงกันข้ามกลับเรียกความสนใจจากภาครัฐและประชาชนให้มาสนใจบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองแห่งนี้อีกต่างหาก

พระปรางค์

พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้งนั้น เป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดของวัดและของประเทศ ประกอบด้วย พระปรางค์ประธาน และมีพระปรางค์บริวารโดยรอบ 4 ทิศ พระปรางค์แต่ละองค์มียักษ์ชั้นเสนาแบกโดยรอบ นอกเหนือจากกินรี และกินนร ที่อยู่ตามช่องต่างๆ ที่ฐานพระปรางค์

ยักษ์วัดแจ้งเรียกรัฐบาลบูรณะพระปรางค์วัดอรุณ สัญลักษณ์ของประเทศ

 

เคยฟัง ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อรรถาธิบายว่า ลักษณะการสร้างพระปรางค์วัดแจ้งนี้ สอดคล้องกับคติความเชื่อในไตรภูมิพระร่วง พระปรางค์องค์ใหญ่เปรียบดังเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางจักรวาล พระปรางค์เล็ก ที่เป็นบริวารนั้นเปรียบดังเขาสัตบริภัณฑ์ เมื่อจำลองเขาพระสุเมรุตามคติไตรภูมิ จึงต้องสร้างสัตว์ป่าหิมพานต์ (ทั้งยักษ์ กินนร กินรี) ให้อยู่ในที่เดียวกัน

ร.2 มีพระราชปรารภ

การมีพระปรางค์องค์ใหญ่ เริ่มจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 มีพระราชปรารภที่จะสถาปนาพระปรางค์เดิม ซึ่งสูงเพียง 8 วา (16 เมตร) ให้งดงามเป็นศรีสง่าแก่พระนคร แต่เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ลงมือขุดรากก็สวรรคตเสียก่อน

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดให้ดำเนินการสถาปนาต่อไปจนเสร็จ จึงยกยอดลำภูขันธ์ (นภศูล) แต่ยังไม่ทันฉลองก็สวรรคต

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงได้ทรงจัดการสถาปนาต่อเติมจนสำเร็จบริบูรณ์

ลักษณะของพระปรางค์

หนังสือนำชมกรุงรัตนโกสินทร์ ที่คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พิมพ์ในวาระ 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2525 ให้ข้อมูลว่า ฐานพระปรางค์วัดโดยรอบได้ 243 เมตร สูง 81 เมตร มีปรางค์เล็กและมณฑปทั้ง 4 ทิศ จากยอดพระปรางค์ลงไปหาฐาน มีสิ่งต่างๆ คือ พระมหามงกุฎ นภศูล (ลำภูขันธ์ หรือสามัญเรียก ลำภูขัน) ปิดทอง มีพระนารายณ์แบกครุฑ ซุ้มยอดปรางค์ประจำทิศมีรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ภายในทั้ง 4 ทิศมีกำแพงแก้วกั้นพื้นฐานทักษิณสามชั้น

สำหรับพระมหามงกุฎนั้นเดิมสร้างเพื่อถวายพระประธานวัดนางนอง เมื่อจะยกนภศูลได้โปรดเกล้าฯ ให้นำมาต่อสวมยอดนภศูล เป็นเหตุให้กล่าวกันว่าที่ทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อเป็นนิมิตแก่มหาชนทั้งหลายว่า “เจ้าฟ้ามงกุฎ” คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นรัชทายาทนั่นเอง มีพระปรางค์เล็ก 4 ทิศ เป็นเครื่องประดับพระปรางค์องค์ใหญ่ ภายในซุ้มมีรูปพระพายทรงม้าขาว เชิงบาตรมีรูปยักษ์และกระบี่แบกสลับกัน ในซุ้มล่างบรรจุตัวกินนรปูนปั้นติดผนังโดยรอบ

พื้นฐานมีตุ๊กตาจีนสลักด้วยศิลาเป็นรูปคนและสัตว์ ประดับเรียงรายรอบองค์พระปรางค์ กำแพงด้านตะวันออกมี 3 ประตู ด้านตะวันตกมี 2 ประตู ซุ้มประตูทั้ง 5 ประดิษฐ์เป็นลายรูปพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5

ฐานทักษิณชั้นที่หนึ่ง มีพระปรางค์เล็กประดิษฐาน 4 มุมขององค์ใหญ่

ฐานทักษิณชั้นที่สองมีมณฑปประดิษฐานอยู่ 4 ทิศ ทิศละมณฑป ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปมณฑปทิศเหนือตั้งพระพุทธรูปปางประสูติ ทำเป็นรูปพระนางสิริมหามายาประทับยืนเหนี่ยวกิ่งไม้สาละ มีรูปพระพุทธองค์ตอนแรกประสูติจากพระครรภ์ประทับยืนบนดอกบัวชูพระหัตถ์ขวาชี้ขึ้น 1 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ประกาศความเป็นเอกอัครมหาบุรุษของพระองค์ มณฑปทิศตะวันออก ตั้งพระพุทธรูปปางตรัสรู้ มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ 3 องค์ องค์กลางเป็นพระนาคปรก องค์ริมทั้ง 2 ด้าน เป็นพระมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ใต้ร่มโพธิ์และร่มไทรด้านละองค์

มณฑปด้านทิศใต้ ตั้งพระพุทธรูปปางเทศนาพระธรรมจักร มีรูปพระปัญจวัคคีย์นั่งประนมมือ

มณฑปด้านทิศตะวันออก ตั้งพระพุทธรูปปางปรินิพพาน มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ มีพระภิกษุนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์

ยักษ์วัดแจ้งเรียกรัฐบาลบูรณะพระปรางค์วัดอรุณ สัญลักษณ์ของประเทศ

 

ฐานทักษิณชั้นที่สาม องค์ปรางค์ชั้นบนประดับซุ้มรูปกินนร เหนือซุ้มเชิงบาตรเป็นรูปกระบี่แบกโดยรอบ

ฐานทักษิณชั้นที่สี่ชั้นสูงสุด เหนือซุ้มเชิงบาตรเป็นรูปพรหมแบกโดยรอบ องค์พระปรางค์ที่ซุ้มคูหาซึ่งยื่นออกมาเป็นจตุรมุขทั้ง 4 ด้าน ทำยอดเป็นปรางค์เล็กๆ ภายในประดิษฐานรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เชิงบาตรเหนือซุ้มเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ส่วนยอดองค์พระปรางค์ใหญ่ประดับประดาอย่างดี ถึงสุดยอดติดลำภูขันธ์ประดับยอดด้วยมงกุฎปิดทอง

พระปรางค์ทั้ง 4 ชั้น มีบันไดขึ้นถึงตลอดทุกชั้น

ยักษ์เสนาตกลงมา

ส่วนเศียรยักษ์ที่ตกลงมานั้นเป็นยักษ์เสนา อยู่ที่พระปรางค์บริวาร ไม่ได้มีความหมายถึงลางดี ลางร้าย บางคนว่าตกเพราะฟ้าผ่า แต่แท้จริงเกิดจากฟ้าผ่าหรือไม่ ยังหาผู้ยืนยันไม่ได้ เพราะผู้ที่เฝ้าด้านหน้าพระปรางค์มาทราบว่าเศียรยักษ์หักหลังจากผ่านไปหลายวันแล้ว (หลวงพ่อเจ้าอาวาสเล่าให้ฟัง)

แท้จริงการที่เศียรยักษ์เสนาตกลงมา เรียกความสนใจจากภาครัฐให้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมโบราณสถาน ที่เป็นแลนด์มาร์กของแผ่นดินได้ดีกว่าทำเรื่องของบประมาณโดยตรง ดังที่ พระครูอรุณธรรมานุวัตร (ต่อศักดิ์) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม บอกว่าเศียรยักษ์ที่ตกมาทำให้รัฐบาลให้ความสนใจ จัดงบประมาณให้กรมศิลปากรบูรณะซ่อมแซมพระปรางค์ให้มั่นคงแข็งแรงต่อไป และน่าดีใจที่ประชาชนชาวไทย และต่างชาติ เช่น ตระกูลโชกุนเก่าแก่ โตกุกาวา ได้บริจาคช่วย 1 ล้านเยน และจะบริจาคเพิ่มอีก 1 ล้านเยน พร้อมกับให้ประกาศนีบัตรแก่วัดว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรแก่การอนุรักษ์

ยักษ์ปักหลั่น

ยักษ์ในวัดแจ้งที่โด่งดัง เป็นที่จดจำของประชาชนนั้น เป็นยักษ์ปักหลั่นใหญ่โต ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ เป็นยักษ์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ยักษ์สีเขียวชื่อ ทศกัณฐ์ เป็นยักษ์ระดับเจ้าเมืองลงกา ส่วนยักษ์สีขาวชื่อ สหัสเดชะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ฉันญาติกับทศกัณฐ์

ที่ยืนของยักษ์ทั้งสองเตะตาผู้คนที่เป็นนักท่องเที่ยว เพราะทันทีที่ขึ้นจากเรือ (ข้ามมาจากท่าเตียน) จะเห็นยักษ์ทั้ง 2 ยืนเด่นเป็นสง่าทางขวามือ เพราะยักษ์แต่ละตัวนั้นสูงถึง 3 วา มือทั้งสองกุมกระบองยืนอยู่บนแท่น นักท่องเที่ยวส่วนมากต้องโพสท่าทางถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ด้านหลังของยักษ์ เป็นซุ้มจตุรมุขยอดมงกุฎ ตั้งอยู่ด้านหน้าก่อนเข้าไปในบริเวณพระอุโบสถ

ตัวพระอุโบสถของเดิมเป็นศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แต่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานที่มีพระนามว่าพระพุทธธรณิศรราชโลกนาถดิลก ปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 3 ศอกคืบ หล่อในสมัยรัชกาลที่ 2 กล่าวกันว่ารัชกาลที่ 2 ทรงปั้นส่วนพระพักตร์ด้วยพระองค์เอง

ด้านหน้าพระอุโบสถมีพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 2 ประดิษฐานในซุ้มบุษบกยอดปรางค์

รอบๆ ตัวอาคารพระอุโบสถ นอกจากวิหารคตแล้ว ก็มีตุ๊กตาจีนแบบต่างๆ ประดับโดยรอบ

เมื่อท่านมีโอกาสไปชมพระปรางค์ กราบพระประธานในพระอุโบสถ ชมยักษ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ ความยิ่งใหญ่ ปัญหาที่ท่านมีอาจราบรื่น สมดังที่ชื่อวัดแจ้งก็ได้ ขนาดเสนายักษ์หล่นมาตัวเดียว ยังเรียกรัฐบาลให้มาช่วยบูรณปฏิสังขรณ์พระปรางค์ทั้งองค์ได้เลย

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์