posttoday

พระองค์เจ้าทักษิณชาฯ พระมเหสีองค์แรกในพระพุทธเจ้าหลวง

28 ตุลาคม 2555

พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจันทร์ บุตรีพระยาพิพิธสมบัติ (สุข) เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2395 ในพระบรมมหาราชวัง พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 4 ที่ประสูติภายหลังจากที่พระราชบิดาทรงเถลิงถวัลยราชสมบัติในปีแรก

พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจันทร์ บุตรีพระยาพิพิธสมบัติ (สุข) เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2395 ในพระบรมมหาราชวัง พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 4 ที่ประสูติภายหลังจากที่พระราชบิดาทรงเถลิงถวัลยราชสมบัติในปีแรก

พระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดา 2 พระองค์ คือ พระองค์เจ้าสุขสวัสดิ์ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช และพระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโชค กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ

ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง ทรงได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างใกล้ชิด สนิทสนมระหว่างเจ้าพี่เจ้าน้อง เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระเจ้าลูกเธอเมื่อมีพระชนมายุมากแล้ว พระเจ้าลูกเธอที่มีพระชนมายุไล่เลี่ยกันทุกพระองค์จึงทรงมีโอกาสได้เฝ้าสมเด็จพระราชบิดาอย่างใกล้ชิดเท่าๆ กัน ดังที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเล่าไว้ในพระประวัติตรัสเล่าว่า

“เวลาเสวยพวกเรานั่งล้อมอยู่ใกล้โต๊ะเสวย คอยเลื่อนเครื่องไม่ทันใจทูลขอกำลังเสวยก็มี เสด็จไปข้างไหนก็พรูตามเสด็จ ถ้าเสด็จโดยพระราชยานก็ทรงรับขึ้นพระราชยาน ที่ยังเล็กโปรดให้นั่งบนพระเพลาบ้าง ซอกพระปรัศว์บ้าง ที่เขื่องโปรดให้นั่งหน้าพระเพลา”

เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอทรงเจริญพระชันษาพอที่จะปฏิบัติพระภารกิจต่างๆ ได้ ก็ทรงใช้สอยฝึกหัดให้ด้วยพระองค์เอง ทำให้พระเจ้าลูกยาเธอมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระบรมราชชนก และประการสำคัญที่ทำให้พระเจ้าลูกเธอทรงมีโอกาสสนิทสนมกับสมเด็จพระราชบิดามากขึ้น ก็คือการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดการเสด็จประพาสนอกพระราชวังทั้งใกล้และไกล พระเจ้าลูกเธอทั้งหลายทรงมีโอกาสได้ตามเสด็จอยู่เนืองๆ นอกจากจะทรงใกล้ชิดสนิทสนมกับสมเด็จพระบรมชนกนาถแล้ว ยังเป็นโอกาสให้สนิทสนมระหว่างพระเจ้าลูกเธอกันเองอีกด้วย

พระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรีมีพระชนมายุแก่กว่าสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ 1 พรรษา แต่ก็นับว่าเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันที่มักมีโอกาสตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนกประพาสที่ต่างๆ ร่วมกันเนืองๆ จึงทรงสนิทสนมคุ้นเคยกันมาแต่ทรงพระเยาว์

พระองค์เจ้าทักษิณชาฯ พระมเหสีองค์แรกในพระพุทธเจ้าหลวง

 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพาพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอรุ่นใหญ่ อันประกอบด้วย สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ พระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรี และพระองค์เจ้าโสมาวดี ตามเสด็จประพาสโดยรถม้าพระที่นั่งตรวจราชการบริเวณใกล้เคียงพระบรมมหาราชวัง เพื่อทอดพระเนตรนาสวนบริเวณท้องสนามหลวง ทอดพระเนตรโรงทานนอก และการก่อแท่นปืน ณ ป้อมอินทรังสรรค์ ได้ทรงบรรยายภาพบนรถม้าพระที่นั่งไว้เป็นหลักฐานดังนี้

“...ลูกข้า 4 คน นั่งบนที่นั่งเต็มหมดจนไม่มีที่นั่ง ตัวข้าเองเอาข้างหลังยันเบาะ เท้าทั้งสองยันพนักหน้ารถ นั่งลอยมา เพราะข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ลูก 4 คน ประทุกมาเต็มชานหน้ารถ ไม่มีที่นั่งที่ยืน...”

เมื่อรถม้าพระที่นั่งเข้ามาตามถนนด้านประตูวิเศษไชยศรี ใกล้ทางเลี้ยวไปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ม้าตื่นเสียงแตรเสียงกลองรั้งไม่อยู่จนสายบังเหียนขาดไปข้างหนึ่ง รถเสียการทรงตัวคว่ำลง เป็นเหตุให้...

“...ข้างรถก็กระทบกับแท่นปากกลางต้นชัยพฤกษ์ และรั้วล้อมกงข้างซ้ายก็ปีนขึ้นไปบนแท่นก่อด้วยอิฐ หลังคาประทุนรถกระทบปลายรั้วล่มเหมาข้างซ้าย...”

อุปัทวเหตุครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าลูกเธอได้รับบาดเจ็บทุกพระองค์ เช่น

“...ชายจุฬาลงกรณ์ศีรษะแตกสามแห่งแต่น้อย บางแห่งฟกบวมบ้าง ยิ่งเยาวลักษณ์เท้าเคล็ดห้อยยืนในเวลานี้ไม่ได้ ขัดยอกที่ส้นหลังด้วย แต่มีแผลเล็กน้อย โสมาวดีก็เป็นแผลบ้าง หลังบวมแห่งหนึ่ง...แต่ทักษิณชาป่วยมาก จะเป็นอะไรทับก็สังเกตุไม่ได้ หลังเท้าขวาฉีกยับเยิน โลหิตตกมากทีเดียว...อาการน่ากลัวมาก โลหิตไหลไม่หยุด สักชั่วทุ่มหนึ่งต้องแก้ไข แต่หมอว่ากระดูกไม่แตก เป็นแต่เนื้อแหลกเหลวไป ในกลางคืนวันนั้นให้ชักให้กระตุกตัวสั่นไป แต่แก้ไขมาก็ค่อยยังชั่วขึ้น...”

และต่อมามีพระราชหัตถเลขาเล่าพระอาการประชวรของพระองค์เจ้าทักษิณชาฯ ให้เจ้าหมื่นสรรเพชรภักดีว่า

“...ทักษิณชา ลูกข้าก็ค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้ กับบางเวลาข้างเท้าและขาข้างดีอยู่นั้นสิ้นระทุกไป เขาว่าเป็นเพราะเทพจรไม่เสมอกันทั้งสองข้างๆ หนึ่งเป็นแผลใหญ่อยู่จนเทพจรเดินไม่สะดวก จึงกลับมาลงเดินข้างหนึ่งแรงไปกว่าข้างหนึ่ง การก็จะไม่เป็นอะไรดอก เมื่อแผลหายแล้วอาการก็ปกติ...”

จากอุปัทวเหตุครั้งนั้น แม้จะไม่ร้ายแรงนักแต่ก็น่าที่จะทำให้พระเจ้าลูกเธอทั้ง 4 พระองค์ ทรงสนิทสนมกันยิ่งขึ้นเพราะได้ทรงร่วมทั้งสุขและทุกข์มาด้วยกัน โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระองค์ชายเพียงพระองค์เดียวนั้น ทรงพระเมตตาและเอาพระทัยใส่ในพระองค์เจ้าหญิงผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพิ่มขึ้น

แม้ว่าตามพระราชประเพณีโบราณของพระราชสำนักฝ่ายใน พระราชธิดาที่ทรงผ่านพระราชพิธีโสกันต์แล้วถือว่าทรงเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่ จะต้องทรงศึกษาอบรมวิชาการสำหรับราชขัตติยนารีในพระราชสำนักฝ่ายใน มิใคร่ได้มีโอกาสเกี่ยวข้องกับกิจการฝ่ายหน้า แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเคร่งครัดกับขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณมากนัก ด้วยเป็นระยะเวลาที่กำลังทรงนำวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาผสมผสาน เพื่อปรับปรุงวัฒนธรรมไทยให้เป็นสากลทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชธิดาได้ทรงศึกษาวิชาการสมัยใหม่และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังทรงเปิดโอกาสให้พระราชธิดาได้ทรงคบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศทั้งหญิงและชาย

โดยเฉพาะพระราชธิดารุ่นใหญ่ อันมีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ พระองค์เจ้าทักษิณชาฯ และพระองค์เจ้าโสมาวดี มักทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โดยเสด็จพระราชดำเนินออกสมาคม เช่น การต้อนรับแขกเมืองดังที่เซอร์แฮรี เซนต์ยอช ออด ผู้สำเร็จราชการมลายูของอังกฤษประจำเมืองสิงคโปร์ ซึ่งมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี พ.ศ. 2411 ได้บันทึกเกี่ยวกับการออกสมาคมของพระราชธิดารุ่นใหญ่ ดังนี้

“...พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์หญิง 3 พระองค์ ที่มีพระชนมายุสูงกว่า (สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์) ก็ทรงพระโฉมศุภลักษณ์ เสียแต่เสวยหมาก ถ้าไม่ย้อมพระทนต์ (ให้ดำ) ตามธรรมเนียมของชาวสยามแล้ว ต้องชมว่าเป็นสตรีที่ทรงกัลยาณีเลิศลักษณ์ทีเดียว พระกิริยามารยาทก็น่าชม และตรัสภาษาอังกฤษได้ทุกพระองค์ ขณะเมื่อท่านเจ้าเมือง (เซอร์ แฮรี ออด) เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินอยู่นั้น พระเจ้าลูกเธอทั้งพระองค์เจ้าหญิงและพระองค์เจ้าชายได้ทรงต้อนรับพวกที่ไปกับท่านเจ้าเมืองที่ในท้องพระโรง ทรงแจกการ์ดและพระรูปถ่ายแก่พวกเหล่านั้น และทรงแสดงความหวังในที่พระเจ้าแผ่นดินจะได้เสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์...”

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในเวลานั้นพระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรีมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเข้าสู่ตำแหน่งพระมเหสีด้วยทรงสนิทเสน่หามาแต่เยาว์วัย พระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรีจึงทรงเป็นพระมเหสีพระองค์แรกที่ทรงเป็นพระประยูรญาติอันสนิทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ต่อมาพระนางเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรี ก็มีพระประสูติการพระราชกุมารอันเป็นที่คาดหวังกันว่าจะทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรกในรัชกาล ยังความปีติโสมนัสพระราชหฤทัยแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์โดยทั่วหน้า

แต่หลังจากนั้นเพียงอีก 8 ชั่วโมง ความปลื้มปีติทั้งปวงก็กลายเป็นความโศกสลดอันใหญ่หลวงเมื่อพระราชกุมารได้สิ้นพระชนม์ลง

สำหรับพระนางเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชาราชบุตรี ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ทำให้พระองค์ทรงประชวรจนไม่ทรงรับรู้สรรพสิ่งใดๆ รอบพระองค์อีกต่อไป หากแต่ทรงพระชนม์ชีพอยู่แต่ในโลกส่วนพระองค์ ไม่อาจทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณได้เลย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเศร้าสลดพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนัก

พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาเวียงในนฤบาลสร้างพระตำหนักพิเศษให้พระนางเธอประทับพักผ่อนรักษาพระองค์ แต่พระอาการมิดีขึ้นจนภายหลังจึงได้เสด็จไปประทับกับพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสุขสวัสดิ์ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช พระอนุชา ณ วังท้ายวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และย้ายไปประทับกับพระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยค กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ พระอนุชาอีกพระองค์หนึ่ง ณ วัง ต.สามเสน จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2449

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดเทพศิริน ทราวาส เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2449

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’