posttoday

แบงก์สตางค์แดง

27 ตุลาคม 2555

ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ชาวบ้านเมื่อหลายสิบปีก่อนชอบเรียกว่า “แบงก์สตางค์แดง” ตามเครื่องหมายการค้าของธนาคารที่เป็นรูปเหรียญสตางค์ดังกล่าว ตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2487 บางท่านอาจจะจำสับสนกับธนาคารกรุงเทพ ที่ตั้งขึ้นในยุคเดียวกัน เพียงแต่ว่าธนาคารกรุงเทพ ได้กลายเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ได้ปิดไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2539

ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ชาวบ้านเมื่อหลายสิบปีก่อนชอบเรียกว่า “แบงก์สตางค์แดง” ตามเครื่องหมายการค้าของธนาคารที่เป็นรูปเหรียญสตางค์ดังกล่าว ตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2487 บางท่านอาจจะจำสับสนกับธนาคารกรุงเทพ ที่ตั้งขึ้นในยุคเดียวกัน เพียงแต่ว่าธนาคารกรุงเทพ ได้กลายเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ได้ปิดไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2539

ที่เขียนถึงธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ เพราะผู้เขียนมีความระลึกถึงธนาคารแห่งนี้ใน 3 เรื่องด้วยกัน หนึ่งคือ เป็นธนาคารที่ตั้งขึ้นโดยพระพินิจชนคดี ผู้เป็นพี่เขยของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สองคือ เป็นธนาคารที่เกือบจะเป็น “ธนาคารของคนยากคนจน” แต่กลับต้องมาพังเพราะผู้บริหารที่อาจจะลุ่มหลงในระบบทุนนิยม และสามคือ การถึงแก่กรรมของคุณเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ผู้บริหารคนสุดท้ายที่ต้องมารับเคราะห์ในโศกนาฏกรรมของธนาคารแห่งนี้

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรงมาก ปัญหาหนึ่งก็คือธนาคารที่มีอยู่ก่อนนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารของชาติฝรั่ง ถูกกองทัพญี่ปุ่นสั่งปิดเพื่อควบคุมระบบการเงินของประเทศไทยไว้ทั้งหมด ดังนั้นในช่วงปลายของสงคราม (สงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นลงในกลางปี 2488) เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแหล่งเงินทุนที่จะมาใช้ในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจึงอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารขึ้นถึง 4 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ กับธนาคารกรุงเทพ ใน พ.ศ. 2487 และธนาคารกสิกรไทย กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. 2488 (ข้อมูลจากเว็บพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย โดยธนาคารไทยพาณิชย์) ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จึงถือได้ว่าเป็นธนาคารแรกที่ตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น

ผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ก็คือพระพินิจชนคดี อดีตอธิบดีกรมตำรวจ (ที่ต่อมาได้เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนในคดีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ใน พ.ศ. 2490) พระพินิจชนคดีเดิมชื่อ พินิจ สกุลเดิม อินทรทูต สืบเชื้อสายมาจากชาวจีนที่อพยพเข้ามาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยความเป็นคนมีเชื้อสายจีนและมีตำแหน่งราชการใหญ่โต จึงมีพ่อค้าคหบดีชาวจีนในยุคนั้นให้ความเคารพนับถือมาก ถึงกับมาร่วมกันลงขันตั้งธนาคารและให้พระพินิจชนคดีเป็นประธานกรรมการ ครั้งแรกนั้นมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ถนนทรงวาด เขตสัมพันธวงศ์ เป็นธนาคารที่กว้างขวางในหมู่พ่อค้าส่งออกต่างๆ จำพวกข้าวและพืชผลการเกษตร จึงมีเครือข่ายธุรกิจกว้างขวางไปถึงบริษัทเดินเรือ โรงสี และพ่อค้าคนกลางในสินค้าต่างๆ จำนวนมาก

แบงก์สตางค์แดง

 

พระพินิจชนคดีแต่งงานกับ ม.ร.ว.บุญรับ ปราโมช ธิดาคนโตของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ (ซึ่งก็เคยเป็นอธิบดีกรมตำรวจในสมัยรัชกาลที่ 6 และคุณพระพินิจฯ อาจจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา) กับหม่อมแดง บุนนาค ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่เป็นน้องชายของ ม.ร.ว.บุญรับ เคยเล่าให้หลายๆ คนฟังว่าพี่เขยคนนี้เป็นคนซื่อตรง เจ้าระเบียบ และจริงจังกับการทำหน้าที่ต่างๆ มาก เช่น ครั้งหนึ่งหลังเกษียณอายุราชการจากตำรวจใหม่ๆ ระหว่างทางที่จะไปธนาคาร(บ้านของท่านอยู่ในย่านสาทร เดิมเป็นที่สวนสำหรับพลูที่คนจีนเช่าทำอยู่ ท่านและญาติพี่น้องที่รวมถึงท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาซื้อที่แถวนี้ไว้ราว 20 ไร่ ถนนหน้าบ้านจึงได้ชื่อว่าซอยพระพินิจที่เชื่อมออกมายังถนนด้านหน้าที่ชื่อว่าซอยสวนพลู ที่เลี้ยวซ้ายออกมาสัก 100 เมตร ก็จะเจอถนนสาทร) ได้พบอุบัติเหตุรถชนคนแล้วหนี ท่านยังให้คนขับรถขับรถตามไปจนจับตัวได้ ส่วนงานที่ธนาคารนั้นแม้จะเป็นถึงประธานกรรมการ แต่ก็ลงไปช่วยลูกน้องทำงานรับฝากเงินที่หน้าเคาน์เตอร์อยู่บ่อยๆ

เมื่อพระพินิจชนคดีถึงแก่กรรม ภริยาคือ ม.ร.ว.บุญรับ ก็ทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการสืบต่อมา โดยมีท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นรองประธานกรรมการ ครั้งที่ผู้เขียนทำงานเป็นเลขานุการของท่านนั้น จำได้ว่าจะมีการประชุมกรรมการเดือนละ 12 ครั้ง ส่วนกรรมการผู้จัดการยุคนั้นคือคุณธนิต พิศาลบุตร ที่เข้าออกบ้านสวนพลูอยู่เป็นประจำ รวมทั้งผู้บริหารอีกหลายท่าน ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็มาสังสรรค์เฮฮาที่บ้านสวนพลูนี้เป็นประจำเช่นกัน และพลังคนแบงก์เหล่านี้นี่แหละที่ช่วยให้พรรคกิจสังคมที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2517 แล้วเป็นรัฐบาลในปี 2518 โดยมีท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นพรรคที่ยิ่งใหญ่

อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าธนาคารแห่งนี้เป็นธนาคารเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรต่างๆ จึงมีเครือข่ายพ่อค้าคนกลางอยู่ในภูมิภาคต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งผู้บริหารธนาคารตามสาขาต่างๆ ต้องเข้าคลุกคลีสนิทสนม รวมทั้งข้าราชการและผู้มีอิทธิพลทั้งหลายนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อรองประธานกรรมการธนาคาร คือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง บรรดาคนแบงก์ตราสตางค์ก็ต้องแปลงร่างเป็นหัวคะแนนหรือไม่ก็ต้องไปช่วยหาเสียง หาคะแนน รวมทั้งหาคนใหญ่ๆ โตๆ มาเป็นหัวคะแนนให้ด้วย กระทั่งหาตัวผู้สมัครและจัดทีมช่วยหาเสียงในรูปแบบต่างๆ

ผู้เขียนมาเป็นเลขานุการในช่วงที่ท่านพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ในช่วง พ.ศ. 2523-2529 ก็มีการเลือกตั้งอีกหลายครั้ง ทั้งเลือกตั้งใหญ่และเลือกตั้งซ่อม จึงได้เห็นพลังของคนแบงก์ตราสตางค์ว่ามีประสิทธิภาพยิ่งนัก น่าเสียดายที่ผู้บริหารของธนาคารในยุคหลังไม่ได้สืบทอดอุดมการณ์ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เพราะด้วยความที่เจ้าหน้าที่ของธนาคารต้องออกช่วยหาเสียง จึงทำให้ได้ลูกค้าเป็นชาวบ้านและชาวไร่ชาวนาเป็นจำนวนมาก โดยธนาคารในยุคนั้นยังต้องใช้สโลแกนว่า “ธนาคารเรารักชาวบ้าน” นี่จึงอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่มีเงินฝากล้นธนาคาร จนถึงขั้นที่ทำให้ผู้บริหารในยุคหลังคิดระบายเงินออกไปทำธุรกิจแปลกๆ จน “เจ๊ง” ในที่สุด

ธุรกิจแปลกๆ ก็เช่น กองทุนสตางค์แดง ที่ธนาคารคิดจะกว้านเงินชาวบ้านให้ไปร่วมลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ต่อไป ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เองก็ต้องร่วมซื้อตามที่ผู้บริหารธนาคารอ้างว่าเพื่อประเดิมเป็นสิริมงคลหลายล้านบาท ผู้เขียนเองมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งก็แอบลงทุนตามไปด้วย สุดท้ายจากต้นทุนหุ้นละ 10 บาท ในปี 2534 ที่ซื้อมา พอถึงปี 2539 ที่ธนาคารนี้เจ๊ง มีมูลค่าเหลือแค่สลึงเดียวเท่านั้น จากนั้นธนาคารก็ถูกปิด หนี้สินต่างๆ ถูกรวบรวมมาจัดการใหม่ในชื่อบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพฯ พาณิชย์การ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่นับพันคนถูกลอยแพ ที่มีธุรกิจเดิมเข้มแข็งอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่จำนวนมากนั้นเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องดิ้นรนต่อไปอย่างน่าอนาถ

ที่น่าสงสารที่สุดก็คือบรรดาลูกหลานและบริวารของคนในสกุลพินิจชนคดี อินทรทูต ชาลีจันทร์ และปราโมช ที่กระจัดกระจายไปต่อสู้หรือกอบกู้ในธุรกิจอื่นๆ ที่เหลือ ผู้เขียนสนิทสนมกับคนรับใช้ในบ้านสวนพลูอยู่หลายคน เนื่องจากท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้แบ่งเงินทองให้แก่คนเหล่านี้มากมายเท่าใด รวมทั้งทายาทของท่านอาจจะคิดว่าคนเหล่านี้ได้หลายสิ่งหลายอย่างไปจากท่านมากแล้ว จึงไม่ได้เอาใจใส่ดูแลมากนัก จึงทำให้คนเหล่านี้ต้องตกระกำลำบาก บางคนอยู่ในสภาพไม่ต่างจากคนเข็ญใจ และก็มีบางคนที่ตายไปโดยไม่มีใครเหลียวแล

คุณเกริกเกียรติต่อสู้คดีมาอย่างยาวนาน เขาอาจจะเป็นแค่เหยื่อของระบบทุนนิยม หรืออาจจะเป็นแค่เครื่องมือของผู้ละโมบทางการเมืองและธุรกิจทั้งหลาย แต่ในส่วนที่ผู้เขียนรู้จักเป็นการส่วนตัวแล้ว เขาเป็น Family Man ที่น่ารักมากๆ คนหนึ่ง แม้จะอยู่ในระหว่างประกันตัวและเป็นโรคร้าย ก็ไม่เคยที่จะนำความทุกข์ยากนี้มาเป็นความทุกข์ยากของครอบครัว ยังพาลูกๆ หลานๆ แบบที่ทุกคนเรียกว่า “พ่อตั้ว ลุงตั้ว” (ตั้วเป็นชื่อเล่นของคุณเกริกเกียรติ) ไปเที่ยวไปหาอะไรรับประทานอยู่เป็นปกติ โดยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็จะมีแต่ “รอยยิ้ม” อย่างที่เคยเห็นมาตลอดชีวิต

เขียนมาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกถึงคนหลายคน และพรรคการเมืองบางพรรคที่ยังโลดแล่นอยู่บนเวทีชีวิตนี้ ที่บ้างก็เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์หรือลืมจุดยืนที่เข้มแข็งของตนเองในอดีต

ระวังจะเจ๊งเหมือนแบงก์สตางค์แดงนี้นะครับ

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68